ไม่มีใครเป็นพระอริยเจ้าโดยเพียงการฟังธรรม
ดิฉันฟังแผ่นปกิณกธรรม และท่านอาจารย์สุจินต์ตอบคำถามว่า ไม่มีใครเป็นพระอริยเจ้า
เพียงโดยการฟังธรรม แต่ก็ได้ฟังหลายๆ ครั้งที่อาจารย์บอกว่า หลายๆ คนได้ฟังธรรมใน
สมัยพระพุทธเจ้า แล้วก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดิฉันกราบขอคำ
อธิบายด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาและบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันมีหลายประการ ซึ่งก็
ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแต่ละอย่างเกื้อหนุนกันจนบริบูรณ์ ดังนั้นไม่มีใครเป็นพระอริยเจ้า
โดยการฟังธรรมเท่านั้น แต่เพราะอาศัยการฟังธรรม ฟังแล้วเข้าใจ ย่อมพิจารณาโดย
แยบคายโดยถูกต้อง และย่อมทำให้เกิดสติและปัญญาอันเกิดจากการฟังพระธรรม อัน
เป็นปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐานคือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมครับ จนถึงการดับกิเลส
บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเมื่อฟังพระธรรมแล้วก็ทำให้เหตุปัจจัยอื่นๆ ที่จะ
ทำให้บรรลุ มีสติและปัญญา การพิจารณาโดยแยบคาย และการปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรม ฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่สามารถถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ ฟังแล้วเข้าใจใน
หนทางถูก แต่ฟังไม่มาก ปัญญายังน้อยก็ยังไม่พอ ก็อาศัยการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ
ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น จนถึงการเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็น
ธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นการปฏฺบัติธรรมสมควรแก่ธรรมครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279
๕. ทุติยสาริปุตตสูตร ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดาบัน
[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑. [๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริส- สังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑.
ประเด็นสำคัญคือมีใครหรือมีเราที่จะพยายามที่จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไหม
หรือพยายามโยนิโสมนสิการ เป็นต้น ไม่มีเพราะมีแต่ธรรมที่เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง
เองครับ เมื่อฟังพระธรรม ขณะที่เข้าใจขึ้น สังขารขันธ์ มี สติและปัญญาก็ค่อยๆ เจริญ
ขึ้น ปรุงแต่งทำหน้าที่เองจนถึงการรู้ความจริงในขณะนี้อันเป็นการปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรมครับ แต่ถ้าจะทำ จะพยายามปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แต่ไม่มีเหตุคือสติ
และปัญญาพอ ก็เป็นความต้องการ อันเป็นเครื่องเนิ่นช้าที่จะบรรลุธรรมครับ
ดังนั้นขาดการฟังพระธรรมไมได้เพราะเป็นเบื้องต้น แป็นรากฐานที่จะทำให้ถึงการ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็น
ธรรมไม่ใช่เรา และอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ธรรมทำหน้าที่เองคือค่อยๆ
เข้าใจขึ้น ก็จะถึงจุดหมายเพราะอบรมเหตุที่ถูกต้องครับ ไม่ต้องแสวงหาวิธีอื่นด้วย
ความต้องการ สาวกคือผู้ฟังพระธรรม สำเร็จ บรรลุจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
ครับ ไม่มีสาวกผู้ใดจะบรรลุได้ด้วยการไม่ฟังพระธรรม แต่ต้องาศัยเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่
เพียงการฟังพระธรรมครับ ตามที่กล่าวมา ขออนุโมทนาครับ
เรื่องการบรรลุธรรมต้องอาศัยการฟังพระธรรม
และเหตุปัจจัยประการอื่นๆ อันเกิดจากการฟังพระธรรม พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ 203
ข้อความบางตอนจาก ตัณหาสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์
ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดย
แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะ
ที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่
บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติ
ปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗
ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เรียนสอบถามเพิ่มเติมครับว่า
การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ คือ อย่างไรครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
ปัจจุบันสหายธรรมทั้งหลาย ก็มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แต่การฟังพระธรรม
นั้นบริบูรณ์หรือยัง ยังครับ เพราะยังไม่เป็นปัจัยให้สติปัฏฐานเกิดระลึกลักษระของ
สภาพธรรมที่มีในขณะนี้ หรือเมื่อสติปัฏฐานเกิดบ้างแล้ว แต่ยังเกิดไม่บ่อยเพราะอาศัย
เหตุปัจจัยหลายอย่างคือการฟังพระธรรมและอื่นๆ การสติปัฏฐานเกิดไม่บ่อย แสดงว่า
สติปัฏฐานยังไม่บริบูรณ์เท่ากับว่า การฟังพระธรรมบริบูรณ์หรือยังครับ ยังเพราะยังไม่
ทำให้สติปัฏฐานบริบูรณ์ เกิดสติปัฏฐานบ่อย จนถึงปัญญาระดับวิปัสสนาญาณ แต่ไม่
ถึงควาเมป็นพระโสดาบัน การฟังพระธรรมก็ยังไม่บริบูรณืเช่นกัน โดยนัยกับที่กล่าวมา
แม้บรรลุเป็นพระโสดาบันแต่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ การฟังธรรมก็ยังไม่บริบูรณ์
เพราะยังไม่ถึงความยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ คือความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นก็
ต้องอาศัยการฟังพระธรรมต่อๆ ไป แม้พระอานนท์ ท่านเป็นพระโสดาบันท่านก็ยังต้อง
ฟังพระธรรมจนกว่าปัญญาท่านจะบริบูรณ์ ก็บริบูรณ์แล้วในการฟังพระธรรมครับ
จากคห.3,ขอเรียนถามว่า...
สติปัฏฐาน4เป็นส่วนหนึ่งของโพชฌงค์7,โพชฌงค์7เป็นส่วนหนึ่งของอริยมรรคมี
องค์8,อริยมรรคมีองค์8เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจจ์4;แต่ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มด้วยการฟัง (ธรรม) ,
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า"สุตสูสัง ลภเต ปัญญัง" (การฟังด้วยดีย่อมเกืดปัญญา) ใช่ไหมครับ...
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
ถูกต้องครับเพราะอาศัยการฟังพระธรรมจึงทำให้เหตุอื่นๆ เจริญ ทำให้สติปัฏฐาน 4
บริบูรณ์ เพราะสติปัฏฐาน 4 บริบูรณก็ทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์และโพชฌงค์7บริบูรณ์
ก็ทำให้อริยมรรค มีองค์ 8 บริบูรณ์ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องอาศัยการคบสัตบุรุษและการได้
ฟังพระธรรม เป็นเบื้องต้นครับ ขออนุโมทนาครับ
ปัญญามีหลายขั้น ขั้นฟัง ขั้นพิจารณา ขั้นภาวนา ในครั้งพุทธกาล ท่านเหล่านั้น
ได้สะสมปัญญา สะสมบารมีมานานเป็นกัปป์ ๆ และปัญญาก็ต่างกันตามการสะสม
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมจึงจะบรรลุ ค่ะ
คำว่า "เพียงโดยการฟัง" ย่อมเป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนอยู่แล้วในคำกล่าวนั้น คือ ถ้าฟังแล้ว หยุดอยู่แค่ฟัง ไม่มีกระบวนการอื่นสืบต่อไปอีก ก็ย่อมจะไม่สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ที่บรรลุได้ย่อมเกิดจากกระบวนการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นต่อจากการฟัง เช่นการพินิจพิจารณา ตรึกตรอง สำเหนียก ใคร่ครวญ กิจเหล่านี้เกิดต่อจากการฟัง หรือพูดตามสำนวนที่ชาวบ้านธรรมะชอบใช้ก็คือ มีการฟังเป็นเหตุปัจจัย ดังนั้น ท่านจึงว่า "ไม่มีใครเป็นพระอริยเจ้าเพียงโดยการฟัง"
กระผมช่วยคิดได้เพียงแค่นี้แหละครับ - ขออนุโมทนาครับ
การฟังที่ขาดการพิจารณาก็ไม่ต่างอะไรจากการ "ได้ยิน" ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น ต้องมาจากการฟังพระธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยสาวกทั้งหลายที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคล จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวซึ่งกล่าวว่าปัญญาที่ได้มาที่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากการฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างนี้ได้ เพราะปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง บุคคลผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรมซึ่งเป็นปริยัติธรรม การศึกษาตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นไปตามลำดับ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นของปริยัติ (ปริยัติ หมายถึง การรอบรู้ในพระธรรมคำสอน) เมื่อฟังเข้าใจแล้วจึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามคำสอน (ซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) เมื่อปฏิบัติตามคำสอนจึงจะมีผลคือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมละกิเลสได้ตามลำดับขั้น (เป็นขั้นปฏิเวธ คือ การแทงตลอด การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ปฏิเวธจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกันตรงกัน แยกกันไม่ได้ "ถ้าไม่เริ่มที่การฟัง แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร?" ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...