ถ้าจะเป็นไปได้ก็คงจะยากการเห็นนามรูปแยกขาดจากกัน
นามรูปปริจเฉทญาณ นั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันง่ายๆ น่อ??
โดยทฤษฎีแล้ว นามรูปเกิดขึ้นเร็วมาก และนามเกิดดับเร็วกว่ารูปถึง 7 เท่า
เมื่อรูปเกิดขึ้น จิตที่รู้รูปก็จะเกิดตามมา เมื่อนึกถึงความเร็วของการเกิดดับแล้ว
สติต้องเร็วมากจริงๆ
จิตเห็น ต่างกับจิตที่รู้เห็นอย่างไรครับ ในแง่อภิธรรม จิตขณะใดที่ชื่อว่าเห็นรูปเกิด
จิตขณะใดที่ชื่อว่าเห็นรูปอันเดียวกันนั้นดับ
ที่ว่าแยกนามรูปออกจากกันได้ หมายความว่าอย่างไรโดยพิสดาร
ธรรมเป็นสัจจะ เป็นความจริง พระพุทธองค์ย่อมแสดงธรรมที่พุทธบริษัทสามารถรู้
และสามารถประจักษ์ พระองค์จะไม่ทรงแสดงพระธรรมที่ผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้ครับ และ
ก็มีผู้ที่สามารถรู้ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดงมาแล้วมากมายครับ
การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เป็นปัญญาที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ซึ่ง
ก่อนที่จะถึงการแยกรูปและนามแยกจากขาดจากกันที่เป็นวิปัสสนาญาน ก็ต้องอบรม
ปัญญาขั้นต้นก่อน คือเริ่มจากการฟังพระธรรม ปัญญาขั้นการฟังว่าธรรมคืออะไร และ
จนถึงปัญญาที่สติและปัญญาระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ จนถึง
ปัญญาเริ่มรู้ทั่วทั้งในสภาพธรรมที่มีจริงทั้ง 6 ทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
จะเห็นไหมครับ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นลำดับ จะไม่ข้ามทันทีที่จะเห็นนามธรรม
และรูปธรรมแยกขาดจากันครับ ดังนั้นก็ต้องค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
ว่าเป็นธรรมไม่ใชเ่รา แต่ยังแยกไมไ่ด้ครับว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรม จนปัญญาถึง
พร้อม วิปัสสนาญาณเกิดก็ย่อมเห็นถึงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมแยกขาด
จากกันจริงๆ ซึ่งขณะนี้ นามธรรมและรูปธรรมก็เกิดขึ้น แต่ปัญญาไม่เห็นตามความเป็น
จริงก็รวมกัน เพราะความไม่รู้นั่นเองครับ ดังนั้น สามารถรู้ได้ แต่ต้องค่อยๆ อบรมปัญญา
จนเจริญมากขึ้นครับ
ในชีวิตประจำวัน โลภะเกิดแทรกกับจิตแต่ละขณะตลอดเวลา เร็วโดยไม่รู้ตัวเลยว่า
เป็นโลภะแล้ว เพราะอบรมโลภะ สะสมโลภะมาจนชำนาญครับ ฉันใด การที่ค่อยๆ
สะสมสติและปัญญาทีละน้อย แต่อาศัยระะยเวลายาวนาน เป็นแสนชาติ ล้านชาติ เป็น
กัปๆ ก็ทำให้สติและปัญญาสามารถเกิดแทรกและไวที่จะทันรู้ลักษณะของสภาพธรรม
และปัญญาแก่กล้าก็สามารถรู้นามธรรมและรูปธรรมแยกขาดจากกันได้ครับ ดังนั้นฟัง
พระธรรมไปเรื่อยๆ ครับ ตอนนี้ไม่รู้แพราะปัญญายังน้อย แต่สิ่งที่ไม่รู้ คิดว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่ไ่ด้หมายความว่าจะรู้ไมไ่ด้ครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
สภาพธรรมเป็นนามธรรมและรูปธรรม การเห็นเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้รูปารมณ์ คือสิ่งที่
มองเห็นได้ คือรูปธรรม รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย นามธรรมและรูปธรรม เกิดขึ้นและดับไปอย่าง
รวดเร้ว ไม่เที่ยง และ ไม่ใช่ตัวตน ถ้าปัญญาเบื้อง ต้น ที่รู้ว่าเป็นลักษณะธรรมอย่างหนึ่ง ที่
ไม่ใช่เรา ยังไม่เกิด ปัญญาขั้น วิปัสสนาเป็นปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งก็เกิดยากแสนยากใน
สังสารวัฏฏ์ค่ะ
* * * คำกล่าวที่ว่านามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมมิใช่สภาพรู้
ก็จิตทุกดวงเป็นสภาพรู้ แล้วจะุไปรู้รูปธรรมที่มิใช่สภาพรู้ตอนไหนครับ
* * * ถ้าจะกล่าวว่า การรู้รูปทางทวาร 5 ถ้ามีสติเกิดร่วมด้วย จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเห็นรูปตามความเป็นจริงใช่หรือไม่ครับ
* * * ขอถามว่าเมื่อ /จิต+รูป+ประสาทรูป+สติเจตสิก+ปัญญาเจตสิกรู้ว่ารูปมิใช่สภาพรู้/ สูตรนี้คือการเห็นรูปโดยความมิใช่สภาพรู้ถูกหรือผิดครับ
* * * อยากทราบว่าสูตรของการรู้อารมณ์ต่อทางมโนทวาร คือะไรครับ
/จิต+.......+สติเจตสิก+ปัญญาเจตสิกรู้ว่า.......คือสภาพรู้/ +.......+ คืออะไรครับ
* * * เช่นนั้นทุกขณะของการปรากฏมีจิตเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นจิตนี้ คือนามธรรม เป็นสิ่งที่เป็นสภาพรู้ ถ้าจะสรุปว่า คำกล่าวที่ว่า รู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่ารูปมิใช่สภาพรู้ นามคือสภาพรู้ รูปและนามที่ว่านี้คืออารมณ์ของจิตนั่นเอง และในขณะการเกิดรู้อารมณ์ไม่ว่าจะเป็นนามหรือรูปก็ตาม หากมีสติขั้นสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วยก็เรียกว่ารู้นามรูปตามเป็นจริงใช่หรือไม่ครับ
* * * จิตขณะใดมีสติขั้นสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วย จะมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอไปหรือไม่ครับ
* * * เจตสิกใดเป็นเจตสิกที่รู้ว่า รูปมิใช่สภาพรู้ นามคือสภาพรู้ ระหว่าง สติเจตสิก หรือปัญญาเจตสิกครับ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
คำกล่าวที่ว่านามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมมิใช่สภาพรู้ก็จิตทุกดวงเป็นสภาพรู้ แล้ว
จะุไปรู้รูปธรรมที่มิใช่สภาพรู้ตอนไหนครับ
รูปธรรมมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะ ดังนั้น ขณะที่รูปยังไม่ดับไป จิตก็สามารถรู้
รูปนั้นได้ครับ เช่น ขณะที่เห็น รูป (สิ่งที่ปรากฎทางตา) รูปนั้นยังไม่ดับ จิตเห็นก็สามารถ
รู้รูปนั้นได้ เป็นอารมณ์ของจิตครับ รวมทั้งจิตอื่นๆ ที่เกิดต่อ มีสัมปฏิฉันนะ เป็นต้น ตราบ
เท่าที่รูปยังไม่ดับครับ
-------------------------------------------------------------------------
ถ้าจะกล่าวว่า การรู้รูปทางทวาร 5 ถ้ามีสติเกิดร่วมด้วย จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเห็น
รูปตามความเป็นจริงใช่หรือไม่ครับ
การรู้รูป เช่น เสียงที่กำลังปรากฎในขณะนี้ สติและปัญญาด้วยเกิดระลึกรู้สภาพธรรม
ที่เป็นเสียง มีลักษณะให้รู้ว่าเป็นธรรม ย่อมเห็นรูปตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมใช่เรา
ได้ครับ
-------------------------------------------------------------------------
ขอถามว่าเมื่อ /จิต+รูป+ประสาทรูป+สติเจตสิก+ปัญญาเจตสิกรู้ว่ารูปมิใช่สภาพรู้/
สูตรนี้คือการเห็นรูปโดยความมิใช่สภาพรู้ถูกหรือผิดครับ
เรียนอย่างนี้ครับ สภาพธรรมทั้หลายอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น การเห็นก็ต้องอาศัย
จักขุปสาท อาศัย รูป (สิ่งที่ปรากฎ) แสงสว่าง จึงเกิดการเห็น แต่ก็แล้วแต่ว่าสติและ
ปัญญาจะเกิดระลึกรู้สภาพธรรมอะไร สติและปัญญารู้สภาพเห็นว่าเป็นธรรมก็ได้ หรือรู้
สิ่งที่ปรากฎทางตาว่าเป็นสภาพธรรมก็ได้ ปัญญาขั้นแรก ยังไม่สามารถแยกออกว่าเป็น
นามธรรมและรูปธรรม เพียงแต่รู้ลักษณะเพียงแค่เป็นธรรมเท่านั้นครับ
-------------------------------------------------------------------------
อยากทราบว่าสูตรของการรู้อารมณ์ต่อทางมโนทวาร คือะไรครับ
/จิต+.......+สติเจตสิก+ปัญญาเจตสิกรู้ว่า.......คือสภาพรู้/ +.......+ คืออะไรครับ
การรู้อารมณ์ทางมโนทวาร เป็นวิถีจิตที่เกิดสืบต่อจากทางปัญจทวาร รับอารมณ์
ต่อครับ หรือจเกิดโดยไม่อาศัยทางปัญจทวาร เช่น การนึกคิดโดยที่ไม่เห็นก็ได้ครับ
ไม่ได้หมายความว่าทางมโนทวาร จะต้องมีสติ มีปัญญาครับ เพราะเป็นปกติขณะนี้ก็มี
ปัญจทวารและมโนทวาร สลับกันอยู่แล้วเป็นปกติไม่ว่าใครครับ ส่วนสติและปัญญา
สามารถเกิดทางมโนทวารได้ ซึ่งเป็นเรื่องะลเอียดครับ
-------------------------------------------------------------------------
เช่นนั้นทุกขณะของการปรากฏมีจิตเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นจิตนี้ คือนามธรรม เป็น
สิ่งที่เป็นสภาพรู้ ถ้าจะสรุปว่า คำกล่าวที่ว่า รู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่ารูปมิใช่สภาพรู้ นามคือ
สภาพรู้ รูปและนามที่ว่านี้คืออารมณ์ของจิตนั่นเอง และในขณะการเกิดรู้อารมณ์ไม่ว่าจะ
เป็นนามหรือรูปก็ตาม หากมีสติขั้นสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วยก็เรียกว่ารู้นามรูปตามเป็นจริง
ใช่หรือ ไม่ครับ
ตามที่เรียนข้างต้นแล้วครับว่า สติปัฏฐานปัญญาขั้นต้น ยังไม่สามารถรู้ว่าเป็น
นามธรรมและรูปธรรม เพียงรู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้นครับ ปัญญาต้องคมกล้า
มากกว่านี้มากจึงสามารถแยกขาดว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรมครับ ดังนั้นขณะนี้ก็ฟัง
พระธรรมครับ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนถึงจุดนั้นก็จะหายสงสัยครับ
-------------------------------------------------------------------------
จิตขณะใดมีสติขั้นสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วย จะมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอไป
หรือไม่ครับ
ถูกต้องครับ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ไม่ปราศจาก สติและสัมปชัญญะคือปัญญาครับ ร่วม
ทั้งสภาพธรรมฝ่ายดีประเภทอื่นๆ มีศรัทธา เป็นต้นครับ
-------------------------------------------------------------------------
เจตสิกใดเป็นเจตสิกที่รู้ว่า รูปมิใช่สภาพรู้ นามคือสภาพรู้ ระหว่าง สติเจตสิก หรือ
ปัญญาเจตสิกครับ
ปัญญาทำหน้าที่รู้ตามความเป็นจริงคัรบ สติทำหน้าที่ระลึกเท่านั้น ดังนั้นตัวปัญญา
ที่ทำหน้าที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นเพียงสภาพธรรมไม่ใช่เราครับ แต่ก็ต้อง
อาศัยสภาพธรรมอื่นๆ มีสติและธรรมฝ่ายดีอื่นๆ เด้วยครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ
ถ้าผมประสงค์จะศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง จิต เจตสิก วิถีจิต ปัจจัย ผมควรศึกษาตามลำดับอย่างไรครับ