ลมหายใจเป็นรูปที่เกิดจากจิตหรือจิตตชรูป..
ผมสงสัยในบางขณะครับ เรียนท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยครับ
คือลมหายใจเป็นรูปที่เกิดจากจิตหรือจิตตชรูปตามหลักธรรม ก็พอจะอนุมานได้ว่า จิตเมื่อต้องการ รูปก็เกิดพร้อมธาตุลมก็เกิดพร้อม อาจจะโดยวิปปยุตปัจจัยหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ ตัวอย่างขณะวิ่งเหนื่อยมากๆ การหายใจก็เร็วถี่ขื้นกว่าเดินปกติ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่า เออนี่คือรูปที่เกิดจากจิตนะ แต่ขณะหลับสนิทจิตซื่งเป็นธาตุรู้ ผมไม่เข้าใจว่าเขาพารูปหายใจอย่างไร และบางครั้งพลิกตัวหน้าคว่ำหายใจไม่ออก จิตมันรู้ถีงขนาดเป็นปัจจัยให้รูปพลิกหน้าเพื่อจะได้หายใจได้สะดวก ดูๆ แล้ว จิตนี่ช่างมหัศจรรย์จริงๆ และขอความกรุณาท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างอีกเช่นลมหายใจขณะสลบ ขณะหลับฝัน ด้วยครับ. ขอบคุณ.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ลมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง อันเป็นวาโยธาตุ ลมเกิดจากสมุฏฐาน คือเหตุหลายประการ ทั้งที่เป็นอุตุ จิต กรรมและอาหาร ส่วนลมที่เป็นลมหายใจ เกิดจากจิตเป็นเหตุ เป็นสมุฏฐาน ลมที่เกิดจากจิต เป็นเหตุ ละเอียดมากครับ การจะรู้สภาพธรรมที่เป็นเหตุ เป็นสมุฏฐาน จึงเป็นเรื่องยาก ลึกซึ้ง ไม่ใช่การคิดนึกครับ อย่างเช่น ขณะที่เหนื่อย ขณะนั้นมีลมหายใจ ซึ่งก็อาจมีลมอื่นๆ ที่เกิดจากสมุฏฐานอื่นด้วยครับ ดังนั้นการพิจารณาลมหายใจ ที่เป็นอานาปานสติ จึงเป็นอารมณ์ของมหาบุรุษ เพราะเป็นเรื่องละเอียดมาก อันเป็นลมหายใจที่เกิดจากจิต แสดงถึงว่าในขณะนั้นต้องมีปัญญารู้ความเป็นสมุฏฐานที่เกิดจากจิตด้วยปัญญา ที่ไม่ใช่เพียงการพิจารณาครับ ดังนั้นขณะที่หายใจแรงๆ แน่นอนครับว่าจะต้องมีลมหายใจที่เกิดจากจิตแน่นอน แต่ลมอื่นที่สืบต่อ อาจไม่ใช่ลมหายใจก็ได้ ปัญญาก็ไม่สามารถรู้ได้เลยเพราะปัญญาไม่มากพอครับ ธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียด อันเป็นพระปัญญาคุณที่พระองค์ทรงตรัสรู้ครับ
ขณะที่หลับสนิทก็มีจิตเกิดขึ้น เป็นภวังคจิต เมื่อมีจิต ยังไม่สิ้นชีวิตก็ต้องมีลมหายใจอันเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน ขณะนั้นไม่รู้อารมณ์ในโลกนี้คือขณะที่หลับสนิท ก็ทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังหายใจอยู่ครับ อย่าว่าแต่การหายใจเลยครับ ที่ไม่รู้ แม้แต่โลกนี้ก็ไม่ปรากฏเพราะขณะนั้นไม่รู้ทางตา หู...ใจเลยครับ เพราะเป็นภวังคจิต ขณะฝันก็มีลมหายใจ เพราะมีจิตครับ ลมหายใจจึงเกิดขึ้นเพราะมีจิตเป็นเหตุครับ ขณะที่สลบก็เช่นกันก็ต้องมีลมหายใจเพราะมีจิตเกิดขึ้นและดับไปอยู่ครับ มีจิตเป็นสมุฏฐานให้เกิดการหายใจ ลมหายใจจึงเป็นเรื่องละเอียดประณีตจึงรู้ได้ยากจึงเป็นอารมณ์ของมหาบุรุษมีพระพุทธเจ้า เป็นต้นครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมประเภทหนึ่งซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้) จิตมีอยู่จริงทุกขณะของชีวิต เพราะชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากรูปธรรมอย่างสิ้นเชิง เพราะรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรไม่รู้อารมณ์เหมือนกับนามธรรม ตามการศึกษาก็พอจะเข้าใจได้ว่า จิตใด เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป (รูปที่เกิดจากจิต) ได้ และ จิตใด ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป ทั้งหมดนั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นจริงอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงธรรม เพราะเหตุว่าธรรมเป็นจริงอย่างไร พระองค์ทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริงและทรงแสดงไปตามความเป็นจริงของสภาพธรรม นั้นๆ และเป็นที่เข้าใจว่า รูปกับนามเข้ากันไม่ได้ ประกอบพร้อมกันไม่ได้ ไม่เหมือนนามธรรมกับนามธรรม (จิตและเจตสิก) เมื่อว่าโดยปัจจัยแล้ว รูปกับนาม เป็นปัจจัยโดยวิปปยุตตปัจจัย นั้น ถูกต้อง ขณะที่สลบ กับ ขณะที่หลับแล้วฝัน ต้องเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นจิตอะไร เพราะถ้าไม่ใช่จิต ๑๖ ดวง (อรูปฌานวิบากจิต ๔ ดวง,ปฏิสนธิจิต ๑ ดวง, ทวิปัญจวิญญาณ๑๐ ดวง, จุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ดวง) แล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูปได้ ดังนั้นขณะที่สลบ มีชวนจิตเกิด ๖ ขณะ และ ขณะที่หลับแล้วฝัน ซึ่งขณะที่ฝัน ก็เป็นกุศลจิตบ้าง เป็นอกุศลจิตบ้าง จึงเป็นจิตที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูปได้ หรือ แม้แต่ขณะที่หลับสนิท ไม่ฝัน จิตเป็นภวังคจิต ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูปได้ด้วย จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริง เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ผู้ศึกษาก็สามารถค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาธรรมอะไรๆ ได้เลย ธรรม เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนจริงๆ สภาพธรรม มีจริงทุกขณะ มีให้ศึกษาอยู่ทุกขณะ ไม่จำกัดเฉพาะขณะหนึ่งขณะใดเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด ต้องอาศัยการฟัง การศึกษา ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ความรู้ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ จิต เป็นธรรม รูปที่เกิดจากจิต ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...