เจโตปริจจสูตร
เจโตปริจจสูตร
ว่าด้วยการกำหนดรู้ใจผู้อื่น
[๑๒๘๙] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วย
ใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่า จิตมีราคะ ฯลฯ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่า จิตหลุดพ้น เพราะได้เจริญได้
กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
จบ สูตรที่ ๔
ดิฉันขอรบกวนท่านผู้รู้อธิบายความหมายของพระสูตรนี้ด้วยค่ะกราบขอบพระคุณค่ะขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย จากข้อความในพระสูตรที่ได้ยกมานั้น เป็นเรื่องของท่านพระอนุรุทธะ ซึ่งเป็นสูตร
ที่ต่อเนื่องกันมา ซึ่งสูตรก่อนหน้านี้ พระภิกษุมากรูปด้วยกันได้เข้าไปถามพระอนุรุทธะ
ว่าท่านได้มหาอภิญญา คือ อภิญญา 6 เพราะกระทำให้มากด้วยอะไร ท่านพระอนุรุทธะ
ท่านได้ตอบภิกษุทั้งหลายว่า กระผมทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน 4 คือ พิจาณาเห็นกายใน
กาย...เพราะกระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน 4 ทำให้กระผมได้ มหาอภิญญา คือ อภิญญา
6 อันเป็นความรู้อันยอดยิ่ง
ซึ่งอภิญญา 6 ก็มีหลายประการ สูตรก่อนหน้านี้ก็จะไล่มาแต่ละอภิญญาแต่ละข้อ
เช่น แสดงฤทธิ์ได้เพราะเจริญสติปัฏฐาน 4 จนมาถึงสูตรนี้ เจโตปริจจสูตร ซึ่งท่าน
พระอนุรุทธะ แสดงว่า ท่านสามารถรู้ใจผู้อื่นได้ (เจโตปริยญาณ) ก็ด้วยการเจริญสติ
ปัฏฐาน 4 นั่นเองครับ ซึ่งการรู้ใจของผู้อื่นก็รู้ด้วยกำลังอภิญญา รู้ตามความเป็นจริง
ว่าบุคคลนั้น จิตมีโลภะอยู่ จิตมีโทสะอยู่ หรือจิตผู้นั้นไม่มีกิเลสแล้ว จิตผู้นั้นหลุด
พ้นจากกิเลสแล้วครับ รู้ตามความเป็นจริง ดังตัวอย่าง พระมหาโมคคัลลานะ ท่านรู้จิต
ของภิกษุทุศีล ที่เข้ามาประชุมในสงฆ์ ในโรงอุโบสถ ท่านรู้ว่าจิตของพระรูปนี้เป็น
อย่างไร ไม่มีศีลแล้ว ท่านจึงจับภิกษุรูปนี้ออกจากโรงอุโบสสถ เพราะการประชุมกับ
ภิกษุผู้ทุศีลย่อมไม่ควรครับ นี่คือเจโตปริยญาณ การรู้จิตของผู้อื่นด้วยอภิญญาครับ
ซึ่งการเจริญสติปัฏฐาน 4 อันเป็นหนทางเดียวในการดับกิเลส เมื่อเจริญให้มากย่อมถึง
การดับกิเลสได้ และผู้ที่อบรมฌานมาด้วยก็ย่อมทำให้ถึงอภิญญา 6
อภิญญา 6 ก็มีความรู้ที่ทำให้อาสวะกิเลสถึงความสิ้นไป และเจโตปริยญาณ คือ การ
รู้จิตของผู้อื่นตามความเป็นจริงเป็นต้น ครับ ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... อภิญญา ๖ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาในธรรมทานของท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ดิฉันสงสัยว่าสติปัฏฐานเจริญให้มากเป็นอภิญญาได้ด้วยเหรอค่ะ
ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อน คิดว่า เป็นเรื่องของฌาน กสิน ถึงได้อภิญญา
ไม่ทราบว่าเจริญสติปัฏฐานแล้วได้อภิญญาด้วยค่ะ
อ่านพอเข้าใจได้บ้างค่ะ แต่ก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกันค่ะ
กระทำกายในกาย ก็จัดเป็นอานาปานสติ เหมือนกรรมฐาน ก็ได้อภิญญา
ก็เหมือนการทำฌาน นั่นเองใช่มั้ยค่ะ
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ จากคำถามที่ว่าขออนุโมทนาในธรรมทานของท่านค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ดิฉันสงสัยว่าสติปัฏฐานเจริญให้มากเป็นอภิญญาได้ด้วยเหรอค่ะ ดิฉันไม่เคยทราบมา
ก่อน คิดว่า เป็นเรื่องของฌาน กสิน ถึงได้อภิญญา ไม่ทราบว่าเจริญสติปัฏฐานแล้วได้
อภิญญาด้วยค่ะ อ่านพอเข้าใจได้บ้างค่ะ แต่ก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกันค่ะ
------------------------------------------------------------------
เรียนอย่างนี้ครับ อภิญญา มีทั้งที่เป็นโลกียะ ที่เป็นอภิญญา 5 และที่ เป็นมหา
อภิญญาที่เป็นอภิญญา 6 สำหรับในพระสูตรข้างต้น ซึ่งสืบเนื่องจากพระสูตรก่อนๆ
ภิกษุมากรูปเข้ามาถามท่านพระอนุรุทธะ ท่านอบรมอะไรจึงได้เป็นผู้ถึง มหาอภิญญา
คือ อภิญญา 6 ท่านอนุรุทธะตอบว่าอบรมสติปัฏฐาน ซึ่งความแตกต่างของอภิญญา 5
และอภิญญา 6 ที่เป็นมหาอภิญญา ตามที่ท่านพระอนุรุทธะท่านได้อภิญญา 6 คือ
อภิญญา 5 ไม่สามารถดับกิเลสได้ ไม่ใช่มหาอภิญญา แต่มหาอภิญญาหรือ อภิญญา 6
สามารถดับกิเลสได้ด้วย ได้ฤทธิ์ด้วย ซึ่งมี อาสวักขยญาณนั่นเองในอภิญญา 6 ครับ
ซึ่งการอบรมสมถภาวนาอย่างเดียว ได้เพียงอภิญญา 5 แต่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน
สามารถทำให้ถึง อภิญญา 6 ดับกิเลสได้ คือ ถึงอาสวักขยญาณครับ อันเป็นปัญญา
ความรู้ที่ดับกิเลสได้ ดังนั้นการอบรมสติปัฏฐาน 4 จึงสามารถึงอภิญญา 6 อันเป็นมหา
อภิญญา พร้อมๆ กับการเจริญสมถภาวนาด้วยครับ ถ้าไม่มีการเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็ไม่มี
ทางดับกิเลสได้ ไม่ถึงอาสวักขยญาณ อภิญญา 6 แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่า จะได้อภิญญา
ด้วยก็ต้องอบรมสมถภาวนาควบคู่กันไปครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ จากคำถามที่ว่ากระทำกายในกาย ก็จัดเป็นอานาปานสติ เหมือนกรรมฐาน ก็ได้อภิญญาก็เหมือนการ
ทำฌาน นั่นเองใช่มั้ยค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------
การเจริญ อานาปานสติ มีทั้งเป็นสมถภาวนาและ วิปัสสนา ดังนั้นถ้าเป็นอานาปานสติ
ที่เป็นสมถภาวนา สามารถได้อภิญญาได้ครับ แต่เป็นโลกียะอภิญญา ที่เป็นเพียง
อภิญญา 5 ไม่สามารถดับกิเลสได้ครับ แต่อานาปานสติที่เป็นแบบวิปัสสนา สามารถ
เจริญได้จนถึงการดับกิเลส และก็อบรมสมถภาวนาด้วยก็สามารถถึงอภิญญา 6 และดับ
กิเลสได้ครับ ขออนุโมทนา