ศึกษาพระธรรม กับ ปฏิบัติธรรม

 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่  21 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18595
อ่าน  2,190

รบกวนสอบถามเพื่อความเข้าใจถูกของชาวพุทธ เพราะเป็นแนวทางสู่เป้าหมาย คือ การบรรลุธรรม

๑. การเริ่มจากการฟัง จากสถานศึกษาพระธรรม หรือศึกษาเอง

๒. ไปสู่สำนักวิปัสสนา วัดป่า พระ เพื่อสอนกรรมฐานแนวทางใด ถึงจะชัดเจน ถูกต้อง และควรเลือกผู้สอนอย่างไร

ที่ถามอย่างนี้ เพราะมีความเห็นต่างกันระหว่างผมกับน้อง ซึ่งผมให้มุมมองว่า

๑. ฟัง และศึกษา จากสถานที่มีการสอนอิงหลักฐานเดียวที่มีเหลือในยุคนี้ คือพระไตรปิฎก

ส่วนอีกมุมมองที่น้องมีการเสนอมา คือ

๑. ให้ไปนั่งสมาธิ ไปนั่ง เดิน พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม (กรรมฐาน ๔๐) ประมาณนี้ครับ

เราต้องศึกษาก่อน หรือทำตามที่อาจารย์ หรือพระท่านสอน เพื่อเทียบเคียง เพื่อให้ตรงตามคำสอนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยผมว่า ต้องยอมรับกันว่า ปัญญาอย่างเราๆ ยุคนี้ น้อย หรืออาจจะไม่มี ถ้าไม่ได้มีการฟังพระธรรมด้วยความคิดที่ปรุงแต่งต่างกันตามการสะสม เช่น "อ่านอรรถกถาหน้าเดียวกัน แต่เข้าใจคนละอย่าง" ซึ่งหมายถึง เรากำลังศึกษาพระปัญญาพระพุทธองค์ว่า ตรัสสอนให้สาวกนำไปปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ด้วยการบรรลุธรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยยากมากๆ ๆ ๆ และต้องใช้เวลา

ส่วนผมก็มีการยึดแนวทางให้ศึกษาก่อน น้องก็ต้องการให้ผมไปปฏิบัติฯ ชวนกันไป ชวนกันมา ไปๆ มาๆ ผมก็ว่า ผมจะมีมานะ และถือตัว ถือแนวทางผมว่า ถูก อกุศลเกิดบ้าง ขุ่นๆ (ไม่ได้อย่างใจ) ก็เลยศึกษาเรื่อง กาลามสูตร

ก็ในเมื่อไม่เชื่อเลย และก็อาจจะทำให้เข้าใจผิด ทำให้ไม่ยอมรับฟังเลย แล้วก็ไปกันใหญ่เลย สรุปไม่รู้อะไรเลย

รบกวนอนุเคราะห์ด้วยครับ เพื่อเราสองคนจะได้เข้าใจแนวทางที่ตรงกันเวลาสนทนาธรรม

กราบขอพระคุณอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สาวก คือผู้สำเร็จได้จากการฟัง ฟังอะไร คือฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพื่ออะไร เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับ คือเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง คือปริยัติ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธ การบรรลุธรรม

ดังนั้น จึงเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งปริยัติและปฏิบัติไม่ได้แยกจากกัน คือเกี่ยวเนื่องกันไปครับ ถ้าไม่เข้าใจขั้นการฟัง จะปฏิบัติถูกไม่ได้เลยครับ แต่เพราะอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจในขณะที่ศึกษา ในขณะที่ฟัง ขณะนั้นปัญญาก็ค่อยๆ เจริญแล้ว จนถึงปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้ ขณะนั้นก็เป็นปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติ คือปัญญาเกิดรู้ความจริงนั่นเอง อันอาศัยปริยัติคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ดังนั้น เพราะอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมทำให้เข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร เพราะถ้าไม่ศึกษาจากพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง จะเข้าใจได้อย่างไรว่าปฏิบัติคืออะไร คำพูดใดของบุคคลใด ถูกหรือผิด แม้แต่คำว่าปฏิบัติ ก็เข้าใจเป็นการทำอะไรสักอย่างที่ยุคสมัยนี้เข้าใจว่าคือการทำ การนั่งสมาธิคือการปฏิบัติ แต่ในความจริงแล้ว คำว่า ปฏิบัติ แปลความหมายแล้ว หมายถึง การถึงเฉพาะ ถึงเฉพาะซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ปฏิบัติธรรม จึงหมายถึง ถึงเฉพาะธรรม แต่ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อน ขั้นการฟังให้ถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร แล้วจะไปหาธรรมอะไร ไปปฏิบัติธรรมอะไร ในเมื่อยังไม่เข้าใจในสิ่งที่หา คือ ธรรม ครับ เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม อันเป็น จิต เจตสิก รูป เช่น การเห็น เป็นจิต เป็นธรรม การได้ยิน เป็นจิต เป็นธรรม คิด เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เป็นธรรม ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิก เป็นธรรม เสียง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูป เป็นธรรม จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การปฏิบัติธรรม หรือที่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อรู้ตัวธรรม ก็ต้องรู้สิ่งที่เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน มีตอนอยู่ในห้องปฏิบัติหรือไม่ ตัวธรรมมีตอนที่นั่งสมาธิหรือไม่ครับ สำหรับธรรม หรือมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมก็คือการรู้ความจริงในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ด้วยการฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เรื่องสติปัฏฐาน จะเห็นครับว่า เพราะอาศัยการศึกษา ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ก็ย่อมเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ก็จะทำให้เป็นผู้เดินทางในหนทางที่ถูกด้วยการศึกษาพระธรรม นี่คือประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้เห็นถูกและเข้าใจในสิ่งที่ถูกตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่าธรรมและคำว่าปฏิบัติธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

การอบรมปัญญา ปัญญาจะเกิดก็ต้องศึกษาพระธรรม และก็เข้าใจใหม่ว่าปฏิบัติธรรมไม่ใช่การทำอะไรสักอย่าง มีการนั่งสมาธิ แต่คือ ปัญญาที่เกิดรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้น ปัญญาจึงไม่ใช่จะไปเกิดตอนนั่ง นั่นเท่ากับประมาทปัญญามาก เพราะแม้อกุศลก็เกิดได้ในชีวิตประจำวัน ปัญญาก็เช่นกัน อาศัยการฟังพระธรรม จนเมื่อถึงพร้อม ปัญญาก็สามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันเช่นกันครับ นี่คือ คำว่า เป็นผู้มีปรกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ถ้าจะทำ จะหาสถานที่ จะไปนั่งเพื่อหาตัวธรรม แต่ก็ลืมไปว่าธรรมมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวันครับ ที่สำคัญ ความเห็นถูกไม่สาธารณะกับสัตว์โลก แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้เข้าใจได้ตามพระองค์ทั้งหมด และพระธรรมก็ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลาและอันตรธานไปในที่สุด อันเป็นการอันตรธานไปจากใจของสัตว์โลกที่ไม่เข้าใจ ดังนั้น สำคัญที่สุด คืออบรมปัญญาของตนเองจนมีความเข้าใจที่มั่นคง ส่วนผู้อื่นก็อธิบายเท่าที่ทำได้และไม่ควรลืมความเป็นอนัตตาและวางเฉยต่อสิ่งที่ทำและไม่หวังให้ผู้ใดมาเข้าใจเหมือนตน เพราะธรรมที่เป็นความเห็นถูกไม่สาธารณะนั่นเองครับ

ขออนุโมทนา

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

การปฏิบัติธรรม

การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า ปริยัติ ปฏิปตฺติ ปฏิเวธ ศึกษาไปตามลำดับค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การศึกษาตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นไปตามลำดับ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นของปริยัติ (ปริยัติ หมายถึง การรอบรู้ในพระธรรมคำสอน) ถ้าหากไม่ฟังแล้วความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อฟังเข้าใจแล้วจึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามคำสอน (ซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) เมื่อปฏิบัติตามคำสอนจึงจะมีผลคือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมละกิเลสได้ตามลำดับขั้น (เป็นขั้นปฏิเวธ คือ การแทงตลอด การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ปฏิเวธจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พระธรรมเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนเท่านั้น ส่วนบุคคลผู้ที่ไม่ได้สะสมบุญมาย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม พระธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับเขา [ธรรม ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน] ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องนั้น มีน้อยมากอย่างยิ่ง ประการที่สำคัญที่ควรจะตระหนักอยู่เสมอ คือ เราไม่สามารถทำให้คนทุกคน หันมาเป็นผู้สนใจศึกษาพระธรรม หรือไม่สามารถทำให้ทุกคนดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างที่เราคิดได้ เพราะเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ที่ควรทำสำหรับตนเอง คือศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ พระธรรมที่ได้ฟัง ที่ได้ศึกษาทั้งหมด เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา และเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส (ของตนเอง) ทั้งสิ้น สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง คือ ความเข้าใจพระธรรม (ปัญญา) เท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
โชติธัมโม
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยเศียรเกล้าครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

เพื่อความละเอียดในบุญกิริยา ๑๐ เผื่อว่าผู้อื่นเห็นจะได้มีอีกมุม ในการพิจารณา (โดยไม่หวังผลนะครับ)

๑. กราบขอบพระคุณ ด้วยความอ่อนน้อม พี่ผเดิม, คุณคำปั่น, พี่วรรณี ครับ

๒. ขออนุโมทนาบุญ กับจิตที่เอื้อเฟื้อ เมตตา กรุณา ให้ความกระจ่างครับ

๓. ขออนุโมทนา กับทุกท่านที่อนุโมทนาด้วยครับ

๔. อนุโมทนากับจิตดวงนี้ด้วยครับ ที่โชคดีได้พบสิ่งดีๆ วันนี้

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 23 มิ.ย. 2554

ขอประทานโทษนะครับ เรามีทางที่จะพูดกันสั้นๆ ได้บ้างไหมครับว่า

ปฏิบัติ ในความเข้าใจของคนทั่วไป (คือต้องแบ่งเวลาจากชีวิตปรกติไปยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง) นั้น ไม่ถูกต้องเพราะเหตุอย่างนี้ๆ

ส่วน ปฏิบัติ ตามความหมายที่ถูกต้องนั้น หมายถึงอย่างนี้ๆ ผู้รู้ก็ขอได้ตั้งกุศลจิตว่า ผู้ที่เข้าใจว่าปฏิบัติคือจะต้องแบ่งเวลาไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งนั้น เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์ที่อยากทำความดี แต่อาจจะยังเขลาอยู่ และกำลังรอคนเมตตาชี้แนะ ฝ่ายข้างผู้ที่ถือว่าปฏิบัติคือจะต้องไปทำอะไรนั้น ก็ขอให้เปิดใจพร้อมที่จะละความเข้าใจผิด ดำเนินตามทางที่ถูก ถ้าพูดกันสั้นๆ ให้จับประเด็นได้ง่ายทันที กระผมเชื่อว่าจะช่วยแก้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือความเข้าใจไม่ตรงกันของคนหมู่มากได้ และจะเป็นมหากุศลอย่างมหาศาล

- ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 24 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 24 มิ.ย. 2554

ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก ก็เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจความจริงของชีวิตอย่างถูกต้อง

ความจริงที่ว่ามีปรากฏให้รู้ได้เพียง ๖ ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเท่านั้น

ดังนั้น การศึกษาธรรมก็คือการศึกษาความจริงตรงนี้ ซึ่งมีอยู่ทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน เรียนหนังสือ ทำงานหรือทำกิจกรรมใดๆ

ถ้าเราเข้าใจความจริงตรงนี้ได้ ความเข้าใจขณะนั้น คือ ... การปฏิบัติธรรมค่ะ แต่กว่าจะเข้าใจความจริงของธรรมตรงนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ... ความจริงคืออะไร อยู่ที่ไหน มีเมื่อไหร่ อย่างไร ทำไมจึงมี ฯลฯ จำเป็นต้องศึกษาพระธรรมคำสอนให้ "เข้าใจ" ก่อนเป็นลำดับแรกค่ะ เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีทางรู้ว่าอะไรจริง ... ถูกมั้ยคะ?

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kinder
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

ขอขอบคุณ Paderm และ Khampan.a ที่อธิบายได้ชัดเจนครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 15 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ