สำคัญตนว่าเข้าใจแล้ว
เมื่อวันพฤหัสที่ ๒๓ มิ.ย. ๕๔ ได้มีโอกาสไปร่วมสนทนาธรรมที่ บ้านคุณสุชาดา สุทธิสารรณกร คุณ แม่ และลูกสาว คุณแต๋ม หทัยทิพย์ เทวกุล สถาปนิกดังที่ออกแบบ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
สังเกตดูว่า บ้านของผู้สนใจศึกษาธรรมและมีผู้มีใจเป็นกุศลทั้งหลายนั้นจะมีบรรยากาศ ร่มเย็น ร่มรื่น อย่างบ้านของท่านทั้งสองนั้นก็สวยงามน่าอยู่ ด้วยการออกแบบที่เหมาะ เจาะลงตัว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะท่านเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบเอง แต่ที่น่าแปลก ใจก็คือต้นไม้ใหญ่มากในบ้านกลางกรุงเทพฯนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ เลย แต่ที่บ้านนี้มีต้นไม้ ใหญ่มากหลายต้น ดูขนาดลำต้นแล้ว น่าจะมีอายุเกือบ ๑๐๐ ปี
วันนี้ท่านอาจารย์เริ่มต้นการสนทนาที่ตรงใจพอดี คือ ท่านพูดถึงเรื่องความสำคัญตนว่า เข้าใจธรรมแล้ว ทำให้นึกถึงตัวเองว่า หลายครั้งเรื่องนี้เคยฟังแล้วหลายหน คิดว่าเข้าใจ แล้ว ไม่ตั้งใจฟังด้วยดี เพราะคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่จริงๆ แล้วเพียงรู้เรื่องราว แต่ไม่รู้เลยว่า ขณะนี้เป็นธรรม จะเรียกว่า เข้าใจธรรมแล้วได้อย่างไร
ขอสรุปคำบรรยายของท่านอาจารย์สั้นๆ ตามความเข้าใจไว้ ดังนี้ “การศึกษาธรรม คือ รู้ว่าธรรมมีจริงๆ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ บัญชาก็จริง แต่ไม่เป็นอิสระจากกัน เพราะต่างก็อาศัยกันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย” “บันไดก้าวแรกของการศึกษาพระธรรม คือรู้ว่า ธรรมคือขณะนี้ที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ มีจริง สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ถ้าศึกษาด้วย ศรัทธาที่มั่นคงที่จะเข้าใจธรรม ก็จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมได้ในวันหนึ่ง”
“เกิดมาในโลกนี้ด้วยความไม่รู้ และจะจากไปด้วยความไม่รู้หรือ? เริ่มตั้งแต่ไม่รู้ว่า ทุกข์ เพราะโลภะ ทุกข์เพราะโทสะ และ มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ความจริงของธรรม เพราะ ฉะนั้นการรู้ความจริงเป็นกุศล เป็นความดี” “ชาวโลกเห็นสิ่งที่เท็จว่าเป็นจริง และเห็นที่จริงว่าเป็นเท็จ” คือ เห็นสิ่งที่เกิดดับ ไม่ เที่ยง เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นคน เป็นต้นไม้ซึ่งไม่เที่ยง ไม่จริงว่าจริง เห็นนิพพาน ซึ่งจริงว่าไม่มีจริง ฯลฯ (คือจำได้เท่านี้ค่ะ)
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เมตตาอบรมสั่งสอนให้เกิดสติ ระลึกได้ทุกเวลาที่มีโอกาส ขออนุโมทนาในกุศลจิตและขอบพระคุณเจ้าภาพที่กรุณาเอื้อ เฟื้อจัดให้มีการสนทนาธรรม เพื่อเผยแพร่ความเข้าใจความจริงให้กว้างขวางออกไป
ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะโดยมากจะ "รู้จำ" แต่ไม่ "รู้จริง" ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
มานะ เป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้าประการหนึ่งในการที่จะทำให้ ไม่บรรลุธรรม เพราะการ สำคัญตนว่าเข้าใจ ในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ย่อมทำให้มีความเข้าใจผิด และก็ไม่เป็นผู้ที่จะ อบรม ศึกษาธรรมต่อเพื่อความเข้าใจถูกขึ้นเพราะ คิดว่าเข้าใจแล้ว และมีมานะ สำคัญ ตนว่าเข้าใจแล้ว เข้าใจกว่าผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งในพระธรรมได้แสดงถึง บุคคลที่ไม่ควร หยั่งลงในกุศศลธรรม คือ ผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์จากการฟังพระรรม มี 5 ประการดังนี้ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 320
๒. ทุติยสัมธัมมนิยามสูตร
ว่าด้วยธรรมของผู้เข้าถึงและไม่เข้าถึงกุศล
[๑๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการแม้ฟังสัทธรรม อยู่ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกในกุศลธรรมธรรม ๕ ประการเป็น ไฉน คือ บุคคลย่อมพูดมาก ๑ พูดคำพูดที่ผู้อื่นพูดแล้วมาก ๑ พูดปรารภตน ๑ เป็นผู้มีปัญญาทราม โง่เง่า ๑ เป็นผู้มีความถือตัวว่าเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล แม้ฟังสัทธรรม อยู่ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือความถูกในกุศลธรรม.
ขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาที่นำธรรมดีๆ มาให้อ่านกันครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"ไม่รู้ว่า ทุกข์เพราะโลภะ ทุกข์เพราะโทสะ และ มีสาเหตุมาจากความไม่รู้ความจริงของธรรม เพราะฉะนั้นการรู้ความจริงเป็นกุศล เป็นความดี"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะพี่แดง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนาด้วยครับ
“บันไดก้าวแรกของการศึกษาพระธรรม คือรู้ว่า ธรรมคือขณะนี้ที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ มีจริง สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ถ้าศึกษาด้วย ศรัทธาที่มั่นคงที่จะเข้าใจธรรม ก็จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมได้ในวันหนึ่ง”
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา (พี่แดง) ด้วยค่ะ