การบวชพระ *เป็นสิ่งสำคัญ* ที่แสดงความเป็นลูกผู้ชาย ... จริงหรือ

 
lovedhamma
วันที่  25 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18613
อ่าน  4,553

ผมเชื่อว่าทุกๆ ท่าน คงจะได้ยินคำพูดนี้มานมนานแล้วนะครับว่า ถ้าเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ไทย จะต้องบวชพระอย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต เรื่องนี้นี่ มิทราบว่ามันจริง-เท็จแค่ไหนครับ เพราะบางคนก็ให้เหตุผลต่างๆ นานา ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วที่ว่า บวชก่อนแต่ง กับ ชักผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ นี่ มันมีเหตุผลเป็นมายังไงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เมื่อกล่าวถึงคำใด ประโยคใด ก็ต้องเข้าใจถึงคำนั้น แต่ละคำอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เข้าใจ ว่าคำนั้นจริงหรือไม่ครับ บวช คือ อะไร บวชเพื่ออะไร ทำไมต้องบวช

บวช คือ การสละเพศคฤหัสถ์สู่ความเป็นเพศบรรพชิต

บวชเพื่ออะไร การบวช เพราะบุคคลนั้นมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ เป็นผู้เห็นโทษ ในการครองเรือนจริงๆ จึงเป็นผู้สละ อาคารบ้านเรือนทั้งหมด ไม่ว่าเงินและทอง ทุกๆ อย่างที่สมควรกับคฤหัสถ์ ดังนั้นการบวช จึงไม่ใช่เพื่อตอบแทนพระคุณมารดา บิดา ไม่ใช่เพื่อว่าบวชแล้วจะเป็นบุญ (บุญอยู่ที่จิตไม่ใช่เครื่องนุ่มห่มที่ใส่) ถ้าบวชหนึ่งครั้งก็ถือว่าประเสริฐ ไม่ใช่เป็นเรื่องประเพณีดังเช่นปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นโทษของกามคุณ โทษของการครองเรือน และมีศรัทธาที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์แสดง ทั้งพระวินัยและการศึกษาธรรมอย่างแท้จริงเพื่อถึงการดับกิเลส นี่คือจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการบวชครับ ที่กล่าวมาจึงเป็นการแสดงถึงคำถามที่ว่า บวชเพื่ออะไร ทำไมต้องบวชครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องของปัญญาที่กล่าวว่า ลูกผู้ชายจะต้องบวชพระอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่ พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงนั้น เกื้อกูลกับพุทธบริษัททั้ง ๔ และการเกิดขึ้นของปัญญาก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่บวชเท่านั้นครับ เมื่อศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด พระองค์แสดงธรรมตามการสะสมมาของสัตว์โลก เพราะบางบุคคลก็ไม่ได้สะสมการเห็นโทษของการครองเรือน ไม่ได้บวชก็มีมากมาย แต่ท่านก็ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง และก็สามารถบรรลุธรรม มีมากมายในเพศคฤหัสถ์ มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านวิสาขอุบาสก เป็นต้นครับ

ส่วนผู้ที่บวชก็มีมากมายเช่นกัน เพราะเห็นโทษของการครองเรือน เห็นคุณของการขัดเกลากิเลสเพิ่มขึ้น และท่านก็บวข พร้อมๆ กับศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมและได้บรรลุมากมายเช่นกัน และโดยนัยตรงกันข้าม ก็มีผู้ที่บวชในสมัยพุทธกาล แต่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย และไม่ศึกษาพระธรรม ทำให้ไม่ได้บรรลุธรรมและตกนรกมากมายเช่นกันครับ นี่จะเห็นได้ครับว่าเป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องการจะบวชและการจะบรรลุธรรมก็เป็นเรื่องของปัญญา โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศบรรพชิตเลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

หากไม่ได้บวชด้วยความเข้าใจ และไม่ได้มีศรัทธาที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัยเลย การบวชนั้นก็เป็นโทษกับผู้บวช เพราะล่วงอาบัติต่างๆ มากมายและไม่เห็นโทษในอาบัตินั้น และทำให้เข้าใจในพระธรรมผิดก็ย่อมทำให้เป็นโทษกับผู้บวชเอง พระศาสนาก็เสื่อมเร็วขึ้นเพราะไม่ได้เริ่มจากความเข้าใจ แต่กลายเป็นเรื่องของประเพณี และคำกล่าว คำใด คำหนึ่ง โดยไม่ได้แสดงเหตุผลให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าครับ

ดังนั้นถ้าจะบวชเพียงเพื่อก่อนแต่ง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องในการบวชครับ และถ้าบวชแล้วประพฤติผิดในพระวินัยและไม่เห็นโทษ เมื่อตายในเพศพระภิกษุก็ไปอบายเช่นกัน ไม่มีทางไปสวรรค์ได้เลยครับ

ดังนั้นการไปสวรรค์ ไม่ได้เกิดจากผ้าเหลือง แต่เกิดจากกุศล เกิดจากความเข้าใจที่เป็นปัญญา ไม่ใช่ความเข้าใจผิดที่เป็นอกุศลเลยครับ

ดังนั้นการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ย่อมทำให้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัยครับ

คำว่า ถ้าเกิดมาเป็นลูกผู้ชายไทย จะต้องบวชพระอย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต จึงไม่ใช่คำที่ถูกต้อง แต่การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้พบพระพุทธเจ้า แต่ไม่อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ก็ย่อมล่วงเลยขณะที่ประเสริฐ เพราะประโยชน์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ คือ ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง เพื่อมีความเข้าใจถูกและปัญญาเจริญขึ้น โดยไม่ใช่ว่าผู้ชายจะต้องบวชทุกคนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะปัญญาเกิดจากศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมครับ ไม่ใช่ด้วยเหตุโดยการบวชครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การบวช เป็นเรื่องที่ยากมาก และการยินดีในการบวชก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ควรบวชเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นอันตรายมากทีเดียว ถ้าหากล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่รักษาพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ขาดความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อต้องอาบัติแล้ว ไม่กระทำคืนตามพระวินัย ก็เป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผล นิพพาน กั้นการไปสู่สุคติด้วย แทนที่จะได้กระทำกิจที่ควรทำที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง แต่กลับไปเพิ่มอกุศล เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเองที่จะทำให้ได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างมากทีเดียว บุคคลในครั้งพุทธกาล ท่านได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ว่า คับแคบ (คับแคบด้วยอกุศล คับแคบด้วยกิเลส) มีแต่จะเป็นเครื่องพอกพูนกิเลส ให้หนาแน่นขึ้น แล้วมีอัธยาศัยน้อมไปที่จะขัดเกลากิเลสให้ยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติแล้วออกบวช เป็นบรรพชิต ด้วยความจริงใจ ด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ [ไม่ใช่บวชด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่-บวชด้วยคิดว่าบวชก่อนแล้วถึงจะแต่งงานได้ เป็นต้น]

ดังนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะเป็นหญิงหรือชาย ก็ตาม ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลประการต่างๆ นั่น ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าจะละจากโลกนี้ไป (ตาย) เมื่อใด และเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และควรที่จะได้พิจารณาว่า ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้วการเป็นคนดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นด้วยความไม่รู้ [เป็นใครก็ตาม พึงเป็นคนดีควบคู่ไปกับการฟังพระธรรม] ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความสำหรับพิจารณาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

การบวช เป็นเรื่องยาก [คาถาธรรมบท]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ลุงหมาน
วันที่ 26 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาบุญครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
lovedhamma
วันที่ 26 มิ.ย. 2554

ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจ แต่ผมขอบอกตามตรง ๑ เรื่อง นะครับ กับสมาชิก เว็บไซต์บ้านธัมมะทุกท่าน ผมเชื่อว่า ... ผมน่าจะเป็นบุคคลที่มีอายุน้อยที่สุดแล้ว ใน บรรดาสมาชิกทั้งหมด ... ณ ขณะนี้ ผมอายุเพิ่งย่างเข้าปีที่ ๑๙ เองครับ แต่ก็ได้เปิด คอมพิวเตอร์ดูมา แล้วได้มาเจอเว็บไซต์บ้านธัมมะ ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกข้อ ความและคำสอน ทำให้ผมเกิดศรัทธาเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 26 มิ.ย. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18613 โดย lovedhamma

ผมเชื่อว่าทุกๆ ท่าน คงจะได้ยินคำพูดนี้มานมนานแล้วนะครับว่า ถ้าเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ไทย จะต้องบวชพระอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เรื่องนี้นี่ มิทราบว่ามันจริง-เท็จแค่ไหนครับ เพราะบางคนก็ให้เหตุผลต่างๆ นานา ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วที่ว่า บวชก่อนแต่ง กับชักผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ นี่ มันมีเหตุผลเป็นมายังไงครับ ที่คิดกันอย่างนั้น เพราะ "หวัง" อะไรจากการบวชหรือเปล่า??

"บุญ" ไม่ใช่เรื่องหวังให้ "ได้" ให้ "มี" (คำว่าบุญ แปลว่าชำระสันดาน) แต่บุญเป็นเรื่อง ละ สละ และขัดเกลาทั้งหมด การบวชก็เป็นการขัดเกลาอย่างหนึ่งในเพศบรรพชิต เหมาะกับผู้ที่มีอัธยาศัยและเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงค่ะ

ขออนุโมทนาในความเป็นผู้มีศรัทธาในทางธรรมค่ะ

ป.ล. เท่าที่ทราบนะคะ สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดคือ ๑๕ ปีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tongfunny
วันที่ 27 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 27 มิ.ย. 2554

ในพระไตรปิฎกก็มีแสดงไว้ ถ้าบวชไปแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ไปอบายภูมิ เป็นฆราวาสที่ดี ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม อบรมปัญญา ประเสริฐที่สุดในชีวิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jans
วันที่ 27 มิ.ย. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 28 มิ.ย. 2554

กระผมว่าเราต้องแยกกันให้ออกระหว่าง วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ส่วนหนึ่งกับ วิธีศึกษาพัฒนาจิตใจจนบรรลุถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง อีกส่วนหนึ่ง และไม่พึงมองแบบสุดโต่ง คือมองว่า ต้องบวชเท่านั้นจึงจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ หรือมองว่า ไม่ต้องบวชก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

การบวชตามวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตนั้น ใครพร้อม ใครสะดวก ก็ทำกันไป ผู้ทำตามวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตเช่นนั้น ไม่สมควรจะถูกยิ้มเยาะดูถูกว่า งมงาย ไร้สาระ อาจถึงกับปรามาสว่า รูปนามเกิดดับอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ทำไมไม่กำหนดรู้ จะต้องไปบวชให้เสียเวลาทำไม ส่วนผู้ที่ศึกษาพัฒนาจิตใจเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ โดยไม่บวชนั้น ก็ไม่สมควรจะถูกเย้ยหยันดูแคลนว่า จะไปนิพพานท่าเดียว ไม่แลเหลียววัฒนธรรมประเพณี ใครพร้อมที่จะทำอะไร และพร้อมที่จะทำเมื่อไร ก็ควรเป็นเรื่องที่ผู้นั้นจะกระทำด้วยตนเองตามเหตุตามปัจจัย การศึกษาพัฒนาจิตใจนั้น จะบวชหรือไม่บวช ก็ต้องทำ จนกว่าจะถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง

ฟังดูที่พูดกันมา เหมือนกับเราจะมาชวนกันให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องบวช และไม่บวชจะดีกว่า ทั้งๆ ที่เราก็ศึกษากันมาจากพระไตรปิฎกว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี การจะประพฤติพรหมจรรย์ (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ให้บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด ทั้งที่อยู่ท่ามกลางครอบครัว มิใช่กระทำได้ง่าย

จริงอยู่ การบวชในปัจจุบันนี้อาจจะถูกเคลือบถูกพอกไว้ด้วยสิ่งที่เราพากันรังเกียจว่าไร้สาระเพียงไรก็ตาม แต่มิได้แปลว่า ผู้บวชเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์จะไม่มี และ ก็มิได้แปลว่า ผู้ที่บวชอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำที่สุดแห่งทุกข์ เราไม่สมควรที่จะลืมพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด

อนุโมทนากับกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
พุทธรักษา
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

เข้าใจว่า ... แต่ละคน สะสมมาไม่เหมือนกันในสมัยพุทธกาล มีพุทธบริษัท ๔ การประพฤติพรหมจรรย์ (การมีชีวิตประเสริฐ) เป็นไปตาม "อัธยาศัย"

ก่อนจะทำอะไร ควรเข้าใจว่า ทำเพื่ออะไร ... ทำได้หรือไม่ ปวารณาสิ่งใดไว้ ... ควรเคารพในสิ่งนั้น ด้วยการกระทำ-ที่ถูกต้อง ... ไม่ใช่ถูกใจ.

ผู้ศึกษาพระธรรมเข้าใจ ย่อมตรงต่อสภาพธรรม ตรงต่อตนเองย่อมรู้จักตนเอง "ตามความเป็นจริง" ว่า มีอัธยาศัยในการเป็นบรรชิตหรือไม่.

เป็นผู้ครองเรือนที่ดี ... ยังยาก แต่เป็นผู้ครองเรือนที่ดี-ศึกษาพระธรรมดีกว่า ... เป็น "พระภิกษุ-ผู้ทุศีล"

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Sensory
วันที่ 2 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่า ควรบวช ... หากมีศรัทธาที่จะสละ ละการครองเรือนจริงๆ และสามารถประพฤติตามพระวินัยปิฎกได้อย่างสะดวก ต้องไม่ใช่การฝืน เป็นไปตามอัธยาศัยจริงๆ และจะไม่กลับมาครองเรือนอีก ไม่กลับมายินดีในชีวิตแบบคฤหัสถ์อีก

ผู้ที่กำลังคิดจะบวช ต้องรู้ตัวเองว่ายังยินดีในสิ่งที่คฤหัสถ์ยังยินดีอยู่หรือเปล่า และมีความรู้สึกน้อมใจไปในข้อประพฤติตามพระวินัยได้อย่างเต็มใจหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการฝืน (เพราะไม่ใช่อัธยาศัย) เป็นการทดสอบจิตใจก่อนจะบวช ต้องตอบตัวเองด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง

หากไม่ตรงต่อตนเอง บวชไปก็สร้างเหตุไปอบายภูมิ และเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายพระพุทธศาสนา

ในพระสูตรก็มีกล่าวไว้แล้วว่าศาสนาเสื่อมเพราะภิกษุไม่เคารพยำเกรงต่อพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ไม่เคารพเพื่อนพระภิกษุ ทะเลาะกันเอง ไม่เล่าเรียนศึกษา ไม่อธิบายโดยพิสดาร (โดยละเอียด) แต่งตำราขึ้นมาใหม่ ลบล้างคำสอนเดิม ฯลฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Maimii
วันที่ 2 ก.ค. 2554

จะอย่างไรก็ตาม การบวช นั้นดี แต่บวชแล้วจะได้ดีหรือไม่ อยู่ที่จิตของผู้บวช เราควรอนุโมทนาในการบวช แต่ผมขอปฏิบัติในรูปแบบของฆราวาสด้วยการบวชใจ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 3 ก.ค. 2554

คนเก่าๆ พูดไว้น่าคิดว่า บวชเหมือนชามใหญ่ ฆราวาสเหมือนชามเล็ก ชามใหญ่ ถ้ามีของมาก ก็ใส่ได้มาก (จะใส่หรือไม่ใส่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ชามเล็ก ถึงอยากใส่มาก ก็ใส่ได้น้อย เพราะชามมันเล็ก ขนาดของชาม กับพฤติกรรมของคนถือชาม เป็นคนละเรื่องกันครับ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ธ.ค. 2567

คนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นกิเลสของตัวเองและไม่ได้สะสมอุปนิสัยในการสละเพศคฤหัสถ์ แล้วบวช นั้น ไม่ใช่ผู้ที่จริงใจและไม่ใช่ผู้ตรง เพราะถามว่าบวชทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเหตุนั้นๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้เข้าใจพระธรรมและรู้อัธยาศัยของตนเองว่าเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุตามพระธรรมวินัยแล้ว สมควรบวชไหม การบวชเป็นภิกษุไม่ใช่เป็นอยู่อย่างสบายให้ผู้คนกราบไหว้ แต่เพราะเป็นผู้ที่เห็นกิเลสและเห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าหนทางเดียวที่จะขัดเกลากิเลสก็ด้วยความเข้าใจพระธรรมจึงบวชเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคฤหัสถ์และบรรพชิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อ่านเพิ่มเติม

ทำไมบวช

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ