อวิชชาสูตร - อวิชชาและวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล - ๑๙ ส.ค. ๒๕๔๙

 
บ้านธัมมะ
วันที่  17 ส.ค. 2549
หมายเลข  1865
อ่าน  2,469

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••

สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙

เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น.

อวิชชาสูตร

ว่าด้วยอวิชชาและวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล

จาก ... [เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - เริ่มหน้าที่ 1

นำการสนทนาโดย ...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร


ขอเชิญท่านอ่านพระสูตรนี้ได้ในกรอบต่อไป ครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 17 ส.ค. 2549

[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 1

มัคคสังยุต

อวิชชาวรรคที่ ๑

๑. อวิชชาสูตร

ว่าด้วยอวิชชา และวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

[๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นหัวหน้าในการยังอกุศลธรรม ให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับความไม่ละอายบาป ความไม่สะดุ้งกลัวบาป ความเห็นผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้ไม่รู้แจ้ง ประกอบด้วยอวิชชา ความดำริผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นผิด เจรจาผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริผิด การงานผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาผิด การเลี้ยงชีพผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานผิด พยายามผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพผิด ระลึกผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามผิด ตั้งใจผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกผิด

[๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชา เป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับความละอายบาป ความสะดุ้งกลัวบาป ความเห็นชอบ ย่อมเกิดมีแก่ผู้รู้แจ้ง ประกอบด้วยวิชชา ความดำริชอบ ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นชอบ เจรจาชอบ ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริชอบ การงานชอบ ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาชอบ การเลี้ยงชีพชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานชอบ พยายามชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพชอบ ระลึกชอบ ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามชอบ ตั้งใจชอบ ย่อมบังเกิดมีแก่ผู้มีระลึกชอบ

จบ อวิชชาสูตรที่ ๑

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 17 ส.ค. 2549

อรรถกถามัคคสังยุต ในมหาวารวรรค

อวิชชาวรรคที่ ๑

อรรถกถา อวิชชาสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอวิชชาสูตรที่ ๑ แห่งมหาวรรค *

บทว่า ปุพฺพงฺคมา ได้แก่ เป็นหัวหน้าด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย ๑ ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย ๑

บทว่า สมาปตฺติยา ความว่า เพื่อการเข้าถึง เพื่อการได้สภาพ เพื่อความเกิดขึ้น

บทว่า อนฺวเทว อหิริก อโนตฺตปฺป ความว่า ก็อหิริกะ ตั้งอยู่ด้วยอาการ แห่งความไม่ละอาย และอโนตตัปปะ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความไม่กลัวนั่นใด อวิชชานี้นั้น ย่อมเกิดขึ้นร่วมกับอหิริกะและอโนตตัปปะนั้น เว้นอหิริกะ และอโนตตัปปะนั้นเสีย หาเกิดขึ้นได้ไม่.

บทว่า อวิชฺชาคตสฺส ความว่า มิจฉาทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึง คือประกอบด้วยอวิชชา

บทว่า มิจฺฉาทิฏฺิ ได้แก่ ความไม่เห็นตามเป็นจริง คือความไม่เห็นธรรมเครื่องนำสัตว์ให้พ้นทุกข์

บทว่า ปโหติ คือ ย่อมมี ได้แก่ ย่อมเกิดขึ้น. แม้ในมิจฉาสังกัปปะ เป็นต้น พึงทราบความเป็นมิจฉาด้วยสามารถความไม่จริง และไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์นั่นแล. ชื่อว่า องค์แห่งความเป็นมิจฉาเหล่านี้ ย่อมมี เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม ๘ ด้วยประการฉะนี้ ส่วนองค์แห่งมิจฉัตตะทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกัน ย่อมเกิดในขณะต่างๆ กัน. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า เมื่อใด จิตประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อยังกายวิญญัติให้ตั้งขึ้นย่อมเกิด เมื่อนั้น ก็ย่อมมีองค์ ๖ คือ มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) มิจฉาสังกัปปะ (ความดำริผิด) มิจฉาวายามะ (ความพยายามผิด) มิจฉาสติ (ความระลึกผิด) มิจฉาสมาธิ (ความตั้งใจผิด) มิจฉากัมมันตะ (การงานผิด) เมื่อใด จิต ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อนั้นมีองค์ ๕ เว้นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อใดสององค์ เหล่านั้นแล ย่อมยังวจีวิญญัติให้ตั้งขึ้น เมื่อนั้น ย่อมมีองค์ ๖ หรือองค์ ๕ ตั้งอยู่ในมิจฉาวาจา ในฐานะมิจฉากัมมันตะ ชื่อว่า อาชีวะนี้ เมื่อกำเริบ ย่อมกำเริบในกายทวารและวจีทวารในทวารใดทวารหนึ่งเท่านั้น หากำเริบในมโนทวารไม่. เพราะฉะนั้น องค์ ๖ หรือองค์ ๕ เหล่านั้นแล ย่อมมีด้วย อำนาจ มิจฉาชีวะว่า เมื่อใด จิตเหล่านั้นแล ย่อมยังกายวิญญัติและวจีวิญญัติ ให้ตั้งขึ้น โดยมุ่งถึงอาชีวะ เมื่อนั้น กายกรรม จึงชื่อว่า มิจฉาชีวะ วจีกรรม ก็อย่างนั้น. ก็เมื่อใดจิตเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้น เพราะไม่ยังวิญญติให้ตั้งขึ้น เมื่อนั้นย่อมมีองค์ ๕ ด้วยสามารถแห่งมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ และมิจฉาสมาธิ หรือองค์ ๔ ด้วยสามารถแห่งมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น ดังนั้น องค์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกัน ทั้งหมด ย่อมเกิดในขณะต่างๆ กันอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล ในสุกกปักข์

บทว่า วิชฺชา ได้แก่ รู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน แม้ในวิชชานี้ พึงทราบความที่วิชชาเป็นหัวหน้า โดยอาการ ๒ คือ ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย ๑ ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย ๑.

บทว่า หิโรตฺตปฺป ได้แก่ ความละอายบาป และความกลัวบาป ในธรรม ๒ อย่างนั้น หิริ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความละอาย โอตตัปปะ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความกลัว นี้เป็นความสังเขปในข้อนี้ ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวในวิสุทธิมรรคแล้ว แล.

บทว่า วิชฺชาคตสฺส ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึง คือ ประกอบด้วยวิชชา

บทว่า วิทฺทสุโน ได้แก่ ผู้รู้แจ้งคือบัณฑิต

บทว่า สมฺมาทิฏิ ได้แก่ ความเห็นตามเป็นจริง คือความเห็นนำสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้ในสัมมากัมมันตะเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. องค์ ๘ เหล่านี้ย่อมมีเพื่อ ความเกิดแห่งกุศลธรรมด้วยประการฉะนี้ องค์แม้ ๘ เหล่านั้น ย่อมไม่เกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกิยมรรค แต่ย่อมเกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกุตรมรรค. ก็แลองค์ ๘ เหล่านั้น ย่อมมีในมรรคอันประกอบด้วยปฐมฌาน ส่วนในมรรคอันประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้น ย่อมมีองค์ ๗ เท่านั้น เว้นสัมมาสังกัปปะ

ในองค์ ๗ เหล่านั้น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เพราะใน มหาสฬายตนสูตร ในมัชฌิมนิกาย ท่านกล่าวว่า ความเห็นของผู้เป็นอย่างนั้น อันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิของผู้นั้น ความดำริของผู้เป็นอย่างนั้น อันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะของผู้นั้น ความพยายาม ของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาวายามะของผู้นั้น ความระลึกของผู้เป็นอย่างนั้น อันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสติ ของผู้นั้น ความตั้งใจมั่นของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็น สัมมาสมาธิของผู้นั้น ก็แล ในเบื้องต้น กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของผู้นั้น ก็ย่อมบริสุทธิ์ด้วยดี ดังนี้.

ฉะนั้น โลกุตรมรรค ก็ย่อมประกอบ ด้วยองค์ ๕ เท่านั้น ดังนี้. ผู้นั้นพึงถูกเขาต่อว่า ในสูตรนั้นแลว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่เห็นคำนี้ว่า อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ย่อมถึงความเจริญเต็มที่แก่ภิกษุนั้นอย่างนี้ ดังนี้.

ส่วนข้อที่ท่านกล่าวว่า ปุพฺเพว โข ปนสฺส นั้น ท่านกล่าวแล้วเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว ในข้อนี้ท่านแสดงความหมายไว้ดังนี้ว่า ก็จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว กายกรรม เป็นต้น อันบริสุทธิ์ ย่อมบริสุทธิ์ ยิ่งนัก ในขณะแห่งโลกุตรมรรคดังนี้. แม้คำใด อันท่านกล่าวในอภิธรรมว่า ก็ในสมัยนั้นแล มรรคย่อมประกอบด้วยองค์ ๕ คำนั้นท่านกล่าวเพื่อแสดงในระหว่างกิจอย่างหนึ่ง ก็ในกาลใด บุคคลละการงานผิดแล้ว ย่อมยังการงานที่ชอบให้บริบูรณ์ในกาลนั้น. มิจฉาวาจา หรือมิจฉาชีวะ ย่อมไม่มี สัมมากัมมันตะ ย่อมให้บริบูรณ์ในองค์ที่เป็นตัวการทั้งหลาย ๕ เหล่านี้คือ ทิฏฐิ ๑ สังกัปปะ ๑ วายามะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑. ก็สัมมากัมมันตะ ชื่อว่า ย่อมให้บริบูรณ์ได้ ด้วยสามารถแห่งวิรัติ แม้ในสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะ ก็มีนัยนี้แล. คำอันท่านกล่าวแล้วอย่างนี้ เพื่อแสดงในระหว่างกิจนี้. ส่วนในขณะแห่งโลกิยมรรค ย่อมมีองค์ ๕ แน่. แต่วิรัติไม่แน่ เพราะฉะนั้น ท่านไม่กล่าวว่าองค์ ๖ แต่กล่าวว่า มีองค์ ๕ เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

ก็บัณฑิตพึงทราบว่า โลกุตรมรรค ย่อมมีองค์ ๘ เพราะความสำเร็จแห่งสัมมากัมมันตะ เป็นต้น เป็นองค์แห่งโลกุตรมรรค ในสูตรหลายสูตร มี มหาจัตตทาฬีสกสูตร เป็นต้น อย่างนี้ว่า ก็ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีจิตเป็นอริยะ หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ การงด การเว้น การเว้นขาด จากกายทุจริต ๓ คือ เจตนาเครื่องงดเว้นไม่กระทำ การไม่ทำอันใด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะนี้ ย่อมเป็นโลกุตรมรรค เป็นอริยะหาอาสวะ มิได้ ดังนี้ ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสมรรคมีองค์ ๘ นี้ เจือด้วยโลกิยและโลกุตระ

จบอรรคกถาอวิชชาสูตรที่ ๑

* บาลีเป็น มหาวารวรรค

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ประสาน
วันที่ 4 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ