พระธรรมกับการดำเนินชีวิต [ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ]

 
พุทธรักษา
วันที่  3 ก.ค. 2554
หมายเลข  18666
อ่าน  4,712

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรม
ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๔
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถอดเทปบันทึกเสียง โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ปริยัติ คือ พระพุทธพจน์การศึกษาปริยัติ คือ การศึกษาพระพุทธพจน์. พระพุทธพจน์เป็นคำ ที่ทรงแสดงถึง "ธรรม" หรือ สิ่งที่มีจริง. ศึกษาพระพุทธพจน์ เพื่อให้เกิด "ความเห็นถูก" ศึกษาพระพุทธพจน์ เพื่อให้เกิด "ความรอบรู้" เพื่อ "รอบรู้-จริงๆ " จนมีความมั่นคง มั่นใจ ใน "ความเป็นธรรม" การปฏิบัติ คือ การถึง-เฉพาะ-ลักษณะ-ของ "ธรรม" ภาษาบาลี คือ "ปฏิ-ปัตติ" ปฏิบัติ หรือ ปฏิ-ปัตติ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี ปริยัติ ด้วยเหตุนี้ "พระธรรม" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง คือ ปริยัติ (พระพุทธพจน์ ทั้ง ๓ ปิฎก)

ปฏิบัติ (การถึง-เฉพาะ-ลักษณะของธรรม) และ ปฏิเวธ (การประจักษ์-ลักษณะของธรรม) เกิดมาด้วยอวิชชา-ความไม่รู้ และ การที่จะมีความรู้ ซึ่ง ค่อยๆ ละคลายอวิชชาก็โดย "การศึกษาพระพุทธพจน์" การศึกษาทุกอย่าง ไม่ว่าจะศึกษาเรื่องอะไรก็ตามก็เพื่อรู้ และ เข้าใจในสิ่งที่กำลังศึกษา เพราะฉะนั้นเมื่อเป็น "การศึกษาพระธรรม" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงมีใครบ้าง ที่จะรู้ และ เข้าใจ ได้เองโดยไม่ศึกษา "ปริยัติ" ซึ่งก็คือ พระพุทธพจน์-แต่ละคำ แม้แต่ คำว่า "ธรรม" ถ้าจะถามว่า คืออะไร

สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธพจน์เลย จะตอบได้ไหม ขณะนี้ เป็น "ธรรม" ทุกขณะที่มีจริง เป็น "ธรรม" สิ่งที่มีจริงทั้งหมด โดยประการทั้งปวง เป็น "ธรรม" พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงทรงแสดง "ความจริง" คือ "ความเป็นธรรม" เพื่อให้สาวก คือ ผู้ฟัง มี "ความเข้าใจที่มั่นคง" จนเป็น "สัจจญาณ" ซึ่งก็คือ "ปัญญา" ความเข้าใจมั่นคง ว่า ขณะนี้ เป็น "ธรรม" ธรรมไม่มีเจ้าของ และ ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เลยเพราะ "ธรรม" เกิด-ดับ-เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัยและ บังคับบัญชาไม่ได้เลยสักอย่างเดียว

ความรอบรู้ ใน "ปริยัติ" ที่ตรง ที่ไม่ผิดพลาด ไม่คลาดเคลื่อนย่อม "เป็นปัจจัย" ให้เริ่มเข้าใจ "ลักษณะของธรรม" คือ เข้าใจ ใน สิ่งที่กำลังเกิด-ปรากฏ ขณะนี้ "เป็นปกติ" ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน

"พระพุทธพจน์" แสดงเรื่อง จิต เจตสิก สติ ปัญญา ฯลฯ ซึ่งเป็นความจริง ที่ไม่มีใครสามารถคิดเองได้ เช่น ขณะนี้ กำลังมี จิต และ เจตสิก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ใครจะรู้ได้ ถ้าไม่การศึกษา ถ้าไม่ศึกษาแล้วจะปฏิบัติอะไร เพื่อรู้อะไร อกุศลธรรม เกิดขึ้น เพราะ อวิชชา-ความไม่รู้ ตราบใดที่ยังมี อวิชชา ก็ยังมีการสะสม-อกุศลธรรม และ ไม่สามารถ ดับ-อกุศลธรรม ได้ เมื่อมีความไม่รู้ ย่อมชอบ หรือ ไม่ชอบอกุศลธรรม อยู่เรื่อยๆ ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่พบ "หนทาง" ที่จะเข้าใจความจริง

ความเข้าใจ ใน "ความจริง" ที่เป็นปัจจัย ให้ อกุศลธรรมต่างๆ นั้น ถึง การดับ-ไม่เหลือเลย

ก็ขออนุโมทนา ในบุญของแต่ละท่าน ที่ได้สะสมความเป็นผู้ตรง ความเป็นผู้มีเหตุผลและ ความเป็นผู้มั่นคงในการศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจ เพื่อละคลายความไม่รู้ใน "ธรรม" ตามที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
SOAMUSA
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ขอกราบอนุโมทนาในธรรมทานของท่านอาจารย์ และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Noparat
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ปริยัติ คือ พระพุทธพจน์ การศึกษาปริยัติ คือ การศึกษาพระพุทธพจน์.

ความรอบรู้ ใน "ปริยัติ" ที่ตรง ที่ไม่ผิดพลาด ไม่คลาดเคลื่อนย่อม "เป็นปัจจัย" ให้ เริ่มเข้าใจ "ลักษณะของธรรม" คือ เข้าใจ ในสิ่งที่กำลังเกิด-ปรากฏ ขณะนี้ "เป็นปกติ" ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน.

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ถ้าไม่ศึกษา ... แล้วจะปฏิบัติอะไร ... เพื่อรู้อะไร.?

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ประสาน
วันที่ 11 ก.ค. 2557

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

มีคำสอนของพระพุทธองค์ให้ศึกษา แล้วไม่ศึกษา คือ ประมาทตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เป็นหนทางปฏิบัติผิด แล้วดำเนินชีวิตด้วยความประมาท เพราะไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงในแต่ละขณะ คือ ประมาทตลอดไป

กราบบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ