พระธรรมสอนว่าไม่ควรแข่งดี อันเห็นขัดกับชาวโลก

 
Sam
วันที่  3 ก.ค. 2554
หมายเลข  18672
อ่าน  1,883

การแข่งขันทำให้เราพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าคนอื่น และในบางครั้ง มีการใช้วิธีการต่างๆ

(ทั้งที่ถูกและผิด) เพื่อเอาชนะกัน หากไม่มีการแข่งขันกับคนอื่นๆ เราจะมีแรงบันดาลใจให้

ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานได้อย่างไรสำหรับผู้ที่ไม่ใช่บรรพชิต


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ กุศล เป็น กุศล อกุศล ก็ย่อมเป็นอกุศล การพัฒนาตนเอง

ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมทีเป็นจิต เจตสิกนั่นเอง การพัฒนาตนเอง ด้วยจุดประสงค์

เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รสที่ดี ทรัพยสมบัติ อันเกิดจากจิต

ที่เป็นอกุศล ที่เป็นโลภะความติดข้อง การพัฒนานั้นก็ด้วยจิตที่เป็นอกุศลเป็นส่วน

ใหญ่ของปุถุชน เพื่อความได้มาซึ่งสิ่งที่น่าปรารถนา ดังนั้นสิ่งที่คิดว่าพัฒนาเหนือ

กว่าคนอื่น นั่นก็เป็นเพียง จิตที่เป็นอกุศลที่เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ ดังนั้นแรง

บันดาลใจก็คือโลภะนั่นเองที่พยายามทำให้มีการพัฒนา เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ

ก็เพราะโลภะทั้งนั้นครับ ซึ่งสำหรับผู้ที่เป็นเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็ต้องมีการทำงาน มีการ

ประกอบอาชีพในชีวิตประจำวัน และยังเป็นผู้ที่หนาด้วยกิเลสที่เป็นปุถุชนอยู่ จึงยังมี

ความปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจเป็นธรรมดา ดังนั้นก็อาศัยโลภะ เป็นแรงบันดาลใจ ขับ

เคลื่อนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่น่าปรารถนา แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรมและมีปัญญาเจริญ

ขึ้น การดำเนินชีวิตก็ย่อมเป็นไปตามความถูกต้องอันเกิดจากความเข้าใจพระธรรมาก

ขึ้น แม้การประกอบอาชีพ ก็มีโลภะเป็นธรรมดา แต่เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมากขึ้น ก็

มีกุศลธรรมเกิดขึ้นได้ แม้ความเมตตา ช่วยเหลือ แม้ในผู้ร่วมงานและผู้ที่ประกอบอาชีพ

ร่วมกันครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2554

การที่จะประสบความสำเร็จเป็นเรื่องของกรรมเป็นหลัก แต่ประสบความสำเร็จด้วย

การกระทำดีต่อผู้อื่นก็ได้ครับ หากพิจารณาว่าทุกคนก็รักสุขและปรารถนาความสำเร็จ

เหมือนกัน การให้ผู้อื่นเป้นสุขด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีครับ จึงไม่จำเป็นจะต้องเอาชนะกัน

เพราะไม่มีใครชนะ แต่แพ้กิเลสตัวเอง เพราะความสำเร็จเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน

ครับ และการทำสิ่งที่ไม่ดีกับผู้อื่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่การพัฒนาตนเองเลยครับ ดังนั้นไม่

จำเป็นจะต้องเอาชนะ แข่งขัน แรงบันดาลใจให้ประสบความสำเร็จก็มีอยู่แล้ว มีมาก

เสียด้วนั่นคือโลภะนั่นเองครับ การศึกษาพระธรรมก็จะทำให้เป็นผู้เห็นโทษของกิเลส

และงดเว้นตามกำลังของปัญาของแต่ละคนที่สะสมมา แม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวัน

และการประกอบอาชีพได้ ดังนั้นการพัฒนาตัวเองที่ประเสริฐคือพัฒนาที่จิตใจของตน

จากที่สะสมความไม่รู้มามากก็ค่อยๆ ละคลายเพราะปัญญาเจริญขึ้นจากการศึกษาพระ

ธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นก็เป็นการพัฒนาตน พัฒนาจิตให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเป็น

ผู้พัฒนาตนเอง ด้วยการสะสมปัญญา สะสมกุศลธรรมในจิตใจ ละคลายอกุศลเล็กๆ

น้อยๆ แล้วอันเกิดจากการฟังพระธรรม การดำเนินชีวิตประจำวันก็ย่อมเป็นไปในทาง

ที่ถูกที่ควร เว้นในสิ่งที่ควรเว้น และมีเมตตา มีความดีมากขึ้นกับผู้คนรอบข้าง แทนที่

จะคิดถึงแต่ตัวเองมากในเรื่องความสำเร็จก็คืดถึงผู้อื่นบ้างว่าก็เป็นเช่นเราคือต้องการ

ความสำเร็จและความสุขเช่นกัน ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ขณะนั้นเป็นการพัฒนาตน

เองอย่างแท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องแข่งดีก็ได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2554

ความสำเร็จทางโลก ไม่ใช่เครื่องวัด การพัฒนาของบุคคลนั้น แต่ผู้ที่ชนะกิเลส

ของตน ด้วยปัญญา เป็นการพัฒนาตนอย่างแท้จริงครับ ดังนั้นแรงบันดาลใจมีอยู่

แล้วคือโลภะ ไม่จำเป็นต้องไปแข่งดีถึงจะมีแรงบันดาลใจและพัฒนาตน เพราะโลภะ

ก็พยายามให้พัฒนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเป็นผู้ศึกษา

พระธรรมก็อาศัยการเข้าใจพระธรรม พิจารณาในสิ่งที่ควรและไม่ควร แม้ในการประกอบ

อาชีพและการดำเนินชีวิตประจำวัน เท่ากับว่ามีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ตามกำลังปัญญา

ที่สะสมมาครับ ธรรมทั้งหลายมีเหตุปัจจัย แม้อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ควรเข้าใจ

และเห็นโทษของอกุศลบ้างเพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกขึ้น การคิดถูกก็เป็นการพัฒนาตน

แล้วครับ ขออนุโมทนาที่คุณ sam ร่วมสนทนาเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.... มีชีวิตประเสริฐอยู่ด้วยปัญญา [วิตตสูตร]

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ถ้าหากขยันทำงาน ด้วยความฉลาดในงานนั้นๆ (smart) จะประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องแข่งกับใคร เป็นไปไม่ได้เลยหรือคะ.?
จากที่เคยทราบมา...ผู้ที่ทำงานด้วยความรับผิดชอบ ทำงาน...เพื่องานที่ดีและ ได้รับผล คือ ประสบความสำเร็จจากงานนั้นจนเป็นที่ชื่นชมของ "คนที่เห็นคุณค่าของงานนั้น" โดยไม่ต้องแข่งกับใคร ก็ยังมีให้เห็นเพราะ "ผลงาน" เป็นตัวตัดสินความสามารถซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ "ศักยภาพของบุคคลนั้น" ด้วย.
การแข่งขันที่ต้องการชนะ....จนถึงกับการกระทำ"ทุจริต" ไม่ยั่งยืนสักวันหนึ่ง...ก็ต้องแพ้ "ภัย" จากผลของทุจริตกรรม.
สืบเนื่องมาจากคำว่า "แข่งดี" ดิฉันขออนุญาต เรียนถามนะคะคุณ Sam คิดว่า แค่ไหน จึงจะเรียกว่า "ดีพอ" คะ.?
(ที่ถามอย่างนี้...ถือเป็นการสนทนานะคะ หากคุณเห็นว่าไม่สมควร คุณก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ และ ดิฉันขอแสดงความเคารพ ด้วยการขออภัยล่วงหน้า ค่ะ.)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Maimii
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ขอตอบในความเป็นผู้ที่ยังบริโภคกามเหมือนกัน เราต้องปรับระดับจิตใจให้ตรงกับ

สภาวะตรงนั้นเพราะเรายังเป็นผู้ไม่รู้ ผู้ไม่ตื่น ดังนั้นเราจึงมีการแข่งขันกับผู้อื่น เมื่อมี

การแข่งขันจะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะเท่านั้น สำหรับการพ่ายแพ้ตรงนั้นต้องถือเอาเป็น

บทเรียนสั่งสอนตนเอง หาจุดบกพร่องให้เจอ ท้อได้แต่อย่าถอย ถ้าจะถอยต้องถอยไป

ตั้งหลัก ส่วนผู้ชนะถ้าคุณอยากจะชนะตลอดไปคุณก็จะต้องพัฒนาตนเองยิ่งขึ้นไปอีก

หลายเท่า คุณจะต้องไม่เพียงแเต่ต้องต่อสู้กับคนที่จะมาแย่งตำแหน่งของคุณแต่คุณจะ

ได้เผชิญกับตัวตนของคุณที่มีความอหังการ์เพิ่มมากขึ้น อำนาจที่มากขึ้น ความไม่พอ

และวลีที่ว่าเราทำได้ เราจะไม่หยุดเพราะเราทำได้ และแล้วในที่สุดคุณก็จะบรรลุถึง

ความประมาท คุณก็จะมีแต่ตัวคุณ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ความรู้สึกว่าคุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่

ในจักรวาลนี้ คุณจะยิ่งทำทุกวิถีทางที่คุณจะคิดไม่ถึงด้วยซำว่าสิ่งที่คุณทำไปนั้นเป็นดำ

หรือขาวขอให้สำเร็จเท่านั้น ดังนั้นแรงบันดาลใจสำหรับเราก็คือความสำเร็จจากการ

งานที่ประสบผลสำเร็จนั้นเอง แต่คำถามที่ตั้งมาแสดงว่าในใจคุณกำลังเผชิญความ

รู้สึกผิดชอบชั่วดีที่กำลังถาโถมเข้ามาหาคุณ เลยต้องย้อนกลับไปถามคุณว่าในใจของ

คุณจริงๆ แล้วต้องการอะไร หาให้เจอ และความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน

ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sam
วันที่ 4 ก.ค. 2554

เรียนคุณพุทธรักษาครับ ผมคิดว่าความสำเร็จทางโลกยังไงก็ไม่ดีพอครับ ต้องพัฒนาไป

เรื่อยๆ และก็คงจะเป็นไปตามที่คุณ Maimii กล่าวไว้ เพราะความโลภเหมือนทะเลที่ถมไม่

เต็ม

ผมเพียงรู้สึกว่า ชีวิตเป็นของยาก ความเป็นอยู่ของคฤหัสถ์นั้นแสนยาก เพราะเราไม่ได้

อยู่เพียงคนเดียว เรามีคนที่ต้องดูแล และมีคนที่ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่

เราจะตัดสินใจอะไรโดยไม่คำนึงถึงคนเหล่านั้น พูดง่ายๆ ว่าทิ้งกันไม่ได้ และเมื่อกลุ่มมี

มติมอบหมายให้เราลงแข่งขัน เราก็ต้องปรับตัวปรับใจให้พร้อมกับการต่อสู้ทุกรูปแบบ

เพื่อผลคือชัยชนะที่ต้องการ

นี่คือชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งบางครั้งเต็มไปด้วยความยินดีพอใจ บางครั้งก็เต็มไปด้วย

ความคับข้องใจ อย่างน้อยผมก็ได้พบความสงบใจบ้างกับคำเตือนของกัลยาณมิตร ณ ที่

แห่งนี้ จึงขออนุญาตมารบกวนสอบถามครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 4 ก.ค. 2554

กระผมว่า ความคิดเห็นที่ 5 พูด โดนใจ ท่านผู้ตั้งกระทู้ และโดนใจกระผมด้วย

คำถามที่ตั้งมาแสดงว่าในใจคุณกำลังเผชิญความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่กำลังถาโถม

เข้ามาหาคุณ เลยต้องย้อนกลับไปถามคุณว่าในใจของคุณจริงๆ แล้วต้องการอะไร หาให้

เจอ และความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน

ขอคารวะให้ข้อความนี้ ท้าทาย แต่เป็นธรรมะครับ

แข่งดี หรือ แข่งกันดี เป็นการแข่งกับคนอื่น จะทุกข์ตลอดเวลา

แข่งกันทำดี แม้จะตีความได้ว่าอาจเป็นการแข่งกับคนอื่นก็ได้ แต่ก็มีนัยที่เน้นไปที่

แข่งกับตัวเอง จะทุกข์น้อย และเมื่อค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ทุกข์จะยิ่งน้อยลง จนไม่มี

ทุกข์เลย เหมือนพระอรหันต์ที่ท่านยังอยู่ในโลก ก็ทำประโยชน์ให้โลกโดยไม่มีตัวตน

ของท่านที่จะมาคอยหวังผลจากการกระทำ ถึงตอนนั้นเมื่อไร แรงบันดาลใจจะไม่มีความ

หมายอะไรหรอกครับ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึงอะไรนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าไม่พ้นไปจากธรรม ชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด ทุกขณะ ไม่มีเว้น เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นไปมากกว่ากุศล แม้แต่ในขณะที่ประกอบอาชีพการงาน กระทำภารกิจในชีวิตประจำวัน ก็เป็นไปกับด้วยอกุศล เป็นส่วนใหญ่ เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่จิตไม่ได้เป็นไปในทาน ศีล การอบรมเจริญความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญาแล้ว ก็เป็นอกุศลทั้งนั้น (ถ้าไม่ได้กล่าวถึงขณะที่เป็นวิบาก และ กิริยา) ดังนั้น ชีวิตก็จะต้องดำเินินต่อไป ตามปกติ มีหน้าที่อะไร ก็ทำให้ดีที่สุด ประการที่สำคัญ คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เข้าใจว่าเป็นธรรม พร้อมๆ กับเป็นคนดี และ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะเมื่อมีความเข้าใจธรรม มีปัญญาเจริญขึ้น เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมมากขึ้น ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวันทั้งทางกาย ทาวาจาและทางใจ ก็จะเป็นไปในทางทีีดียิ่งขึ้นตามกำลังของความเข้าใจ, ความดีทุกอย่างทุกประการ เป็นสิ่งทีดี ไม่มีโทษ ควรเจริญในชีวิตประจำวัน ซึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ต่อไป ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนา ที่คุณ Sam เป็นผู้ตรง-ต่อสภาพธรรม
ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัว ซึ่งเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ "คนทำงานส่วนใหญ่" ต้องประสบ.
ดิฉันเคยทำงานในบริษัท ก็มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ มีเจ้านายที่ดีมีความสุขในงานตามความรับผิดชอบอยู่ระยะหนึ่งแต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป เกิดวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทมีความจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด มาตรการหนึ่งคือ การเลิกจ้างดิฉันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศ "ความกลัว" ของเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่เริ่มเห็นถึงความไม่มั่นคงของชีวิต.
ในที่สุด บางคนก็ต้องจากไปด้วยน้ำตา และ ความโกรธแค้น เสียใจแม้ทุกคนจะได้รับการชดเชย-ตามกฏหมาย.แต่ยัง "ไม่ดีพอ" สำหรับคณะกรรมการเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมีจุดหมายที่ไกลกว่านั้นเพราะจำเป็นต้องพัฒนาบริษัท และ บุคคลากร ในทุกด้านเพื่อ "สร้างแรงบันดาลใจ" ให้สามารถที่จะแข่งขันได้ ทั้งกับบริษัทคนไทยและ บริษัทจากต่างชาติ ซึ่งเข้ามาเปิดกิจการ เป็นจำนวนมากกระแสความนิยมต่างชาติก็มีมาก...ถ้าบริษัทเราไม่เท่าเทียม หรือดีกว่าเขาบริษัทเราก็จะไม่สามารถยืนอยู่ในวงการได้ อย่างสง่างาม.
การทำงาน เพื่องานที่ดีที่สุด ไม่พอ สำหรับสถานการณ์แบบนี้แต่ต้อง ดีที่สุด และ ดีกว่า (Out standing for Go inter)
จึงมีมาตรการหลายอย่างที่ต้องทำ (ในความเห็นของดิฉัน มีทั้งถูก และ ไม่ถูก) จากคำกล่าวของบางท่านที่ว่า "ใครๆ เขาก็ทำกัน"บางครั้งที่ดิฉันเป็นเสียงส่วนน้อย และจำเป็นต้องยอมรับมติที่ประชุม ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่บางเรื่องที่ดิฉันไม่เห็นด้วย จึงขออนุญาตที่จะไม่ทำ และ มีโอกาสชี้แจงให้เจ้านายรับทราบถึงข้อดี ข้อเสีย ซึ่งท่านก็กรุณารับฟังเราออกความเห็นได้ แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับท่านผลก็คือ ดิฉันไม่ต้องทำ แต่ มีเพื่อนร่วมงานคนอื่น ยินดีรับไปทำแต่ภาระกิจนั้นๆ ไม่สำเร็จทุกครั้งไป ถึงสำเร็จแล้ว ก็เพียงระยะหนึ่งเพราะเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ก็ต้องชดใช้.
ท่านผู้หนึ่ง-ผู้ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างมากท่านสอนว่า คนเรา มีแต่ "สีเทา" ไม่มีสีขาว ไม่มีสีดำถ้ารักที่จะประสบความสำเร็จทางการงาน และ "แพ้ไม่ได้"ไม่ว่าจะเพื่อตัวเอง หรือ คนใกล้ตัวความมุ่งมั่นอย่างเดียว...ไม่พอ แต่จะต้องเรียนรู้ที่จะเป็น "คนสีเทา" ได้ด้วย.
ปกติ ดิฉันก็เป็น "คนสีเทา" อยู่แล้ว ถ้าจะต้องเป็น "สีเทาเข้ม" มากขึ้นๆ จะยืนอยู่ในจุดเดิม ก็ไม่ได้..........จะวิ่งต่อไป ก็ไม่ไหว.
ในบางครั้ง เวลาที่ขับรถกลับบ้าน อยู่กับการจราจรติดขัดมากๆ เป็นแรมปีระยะทางไป-กลับระหว่างบ้านและที่ทำงาน เพียง ๒๐ กิโลเมตร บางครั้ง ต้องใช้เวลาอยู่ในรถไม่ต่ำกว่า ๔ ชั่วโมงมีเวลามากพอ ที่จะดิฉันจะเปิดเพลง ร้องเพลงบ้าง เพื่อความผ่อนคลายความเครียดในรถมีแต่เครื่องเปิดเทป ไม่มีเครื่องเล่นซีดี ถ้ามีฉันทะที่จะฟังพระธรรม ก็เปิดเทปฟังแต่ไม่ลืมที่จะเปิดวิทยุฟังพระธรรม ตอน ๖ โมงเย็นถึง ๑ ทุ่มเสมอ....
บางครั้งดิฉันก็ถามตัวเอง ว่า กำลังทำอะไร เพื่ออะไรถ้าหมดแรง แม้แต่จะเดินล่ะ...ดิฉันควรจะทำอย่างไร.!เป็นเรื่องยากในตอนนั้น ที่ต้องเลือก ระหว่างผลประโยชน์ กับ ความอิสระ.
................................
คำถามที่คุณยกมาร่วมสนทนาในช่วงหลังๆ หลังจากที่หายไปนานดูเหมือนจะตรงกับ ความเห็นที่ ๕ ที่ว่า.......
".........คำถามที่ตั้งมาแสดงว่าในใจคุณ กำลังเผชิญความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี ที่กำลังถาโถมเข้ามาหาคุณ เลยต้องย้อนกลับไปถามคุณว่า ในใจของคุณจริงๆ แล้ว ต้องการอะไร หาให้เจอ และ ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน....."
.
กล่าวได้ดีค่ะ...ขออนุโมทนาท่านเจ้าของความเห็นและขอเป็นกำลังใจให้คุณ Sam ต่อสู้ชีวิตต่อไปค่ะและไม่ว่าคุณจะต้องเป็นไป อย่างไร......อย่าทิ้งการฟังพระธรรม และ การคบกัลยาณมิตร นะคะ.
สวัสดีค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Maimii
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ตอนนี้แหละเป็นช่วงพิสูจน์สิ่งที่คุณสั่งสมมาไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล สิ่งใดจะ

มากกว่ากัน ถ้ากุศลมีกำลังมากสภาวะที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี้คือบททดสอบที่คุณ

จะต้องเรียนรู้และนำสิ่งที่ผู้รู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ชี้ให้

เข้าใจในเรื่องของการเห็น มาปฏิบัติแล้วคุณจะได้สภาวะที่สดใหม่และโชกเลือด

คุณจะกรีดร้องในใจ คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยว พึ่งใครไม่ได้ จะไม่มีใครเข้าใจคุณ แล้ว

ในที่สุดคุณจะรู้ด้วยตนเองว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระปัญญาธิคุณ พระ

บริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ แก่หมู่สัตว์โลกเกินกว่าคำบรรยายใดๆ เหมือน

ที่เราสวดพระพุทธคุณนั่นแหละ แต่ถ้าอกุศลมันแรง คุณก็จะตกอยู่ภายใต้ครรลอง

ของมัน เหมือนกับคุณขับรถที่จุดหมายปลายทางของคุณคือหน้าผาที่สูงชัน ที่หมู่

มวลมนุษย์ถือเอาว่าเป็นสวรรค์ คุณจะรู้สึกถึงการเหวี่ยงขึ้นลงของทางที่ขรุขระ

คุณจะหยุดก็หยุดไม่ได้ และเมื่อคุณไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ คุณจะยิ่งหนาวและเปล่า

เปลียว คุณจะได้ผลตอบแทนคือ สารพัดโรครุมเร้าคุณทั้งกายและใจ หรือกรณีที่

คุณขึ้นไปถึงหน้าผานั่นได้ ท้ายสุดแล้วคุณจะรู้ซึ้งถึงความพ่ายแพ้ คุณจะเต็มไปด้วย

อกุศล คุณจะไม่เชื่อมั่นในกุศลเพราะทางที่คุณขับรถผ่านมานั้น ศีล 5 ข้อ แหลก

กระจุยกระจายยับเยินต่อหน้าต่อตาของคุณ ทางออกที่ผมผ่านมาได้คือการตั้งสัจจะ

และอธิษฐานครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในข้อความสนทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Sam
วันที่ 4 ก.ค. 2554

ขอบคุณทุกท่านอย่างสูงสำหรับข้อคิดที่ช่วยเตือนใจได้้อย่างดี ผมยังมีข้อสงสัยอีกมาก

จะขออนุญาตรบกวนขอคำแนะนำอีกในโอกาสหน้านะครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kinder
วันที่ 4 ก.ค. 2554
ขอบคุณ อ.Paderm,Khampan ตอบได้ตรงตามการฟังพระธรรมครับ ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Sensory
วันที่ 5 ก.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ

ถึงจะต้องแข่งขัน ตามภาระหน้าที่ เพื่อการครองเรือน

แต่มิตรแท้ก็ไม่ควรแข่งขันกันเองนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wannee.s
วันที่ 5 ก.ค. 2554

การทำความดี ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน ชาติไหน ชนชั้นไหน ความดีนั้นดีไม่มีโทษ

แต่แข่งดี ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพศฆราวาสหรือเพศบรรพชิต เพราะแข่งดีเป็นอกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 ก.ค. 2554

ทำงานด้วยกุศลจิตกับทำงานด้วยอกุศลจิตหมายถึง.ทำงานที่ประกอบด้วยสติกับการทำงานไม่ประกอบด้วยสติคุณภาพของงานต่างกันแน่นอน..แข่งดีหมายถึงมีผู้ชนะและมีผู้แพ้..ผู้ศึกษาธรรมะคงไม่ยินดีหากต้องทำให้ใครเป็นผู้ที่แพ้ผิดหวังและเสียใจหากเป็นผู้ชนะ..ลำพองดีใจเป็นการเพิ่มมานะ..ผู้มีมานะเป็นผู้ไม่อ่อนน้อม..จะไม่ได้รับความเมตตาเอ็นดูจากผู้อื่นจะประสบความสำเร็จในงานได้อย่างไร... ข้อความจากพระไตรปิฎกกล่าวว่า

" ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์, ผู้สงบระงับ ละความชนะและความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข." เชิญคลิกอ่าน...พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓-หน้าที่ 369

๓. เรื่องปราชัยของพระเจ้าโกศล [๑๕๙]

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
utain
วันที่ 5 ก.ค. 2554

ในความเห็นส่วนตัวแล้ว การแข่งขัน แข่งดี แข่งเด่น ในทางโลกนั้น ย่อมมีทั้ง

ผู้แพ้และผู้ชนะ ทั้งผู้ที่แพ้และผู้ที่ชนะย่อมตกอยู่ในบ่วงของความทุกข์ทั้งสิ้น

ไม่มีใครหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่กลับไปเพิ่มเหตุแห่งทุกข์โดยไม่รู้ตัว ทั้งโลภ

ทั้งโกรธ ทั้งหลง ยืดเวลาการเวียนว่ายในวัฏฏสงสารออกไปอีก แม้จะเกิดความ

ปิติยินดีกับผู้ที่ชนะ แต่ก็ไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในความเป็นจริงแล้ว

ย่อมไม่มีใครเอาชนะผู้อื่นได้ทั้งหมด ย่อมเป็นทั้งผู้แพ้และผู้ชนะปะปนกันไป ไม่เห็น

ประโยชน์อันใดที่จะต้องเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะเลย ทำงานก็สักแต่ว่าทำไป ตามขอบ

เขต อำนาจ หน้าที่ ที่ได้รับหมาย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเองและส่วนรวม

โดยไม่ต้องใส่ใจว่าจะชนะหรือแพ้แก่ผู้ใด จะชนะก็ช่าง จะแพ้ก็ช่าง เป็นเรื่องการแพ้

การชนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา เรามีหน้าที่ต้องวิริยะ อุตสากะกระทำตามหน้าที่ให้เกิด

ประโยชน์ต่อตนเองและต่อส่วนรวมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ชนะก็สักแต่ว่าชนะ แพ้ก็

สักแต่ว่าแพ้ เป็นธรรมดาของโลก การแข่งขันที่ถูกต้อง ในความเห็นส่วนตัวแล้ว

เราน่าจะแข่งขัน ต่อสู้ เอาชนะอาสวะกิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน อยู่ในจิตของ

เรา ตามที่พระพุทธองค์ได้ชี้ทางให้แล้วจะดีกว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
majweerasak
วันที่ 5 ก.ค. 2554

เป็นกำลังใจให้นะครับ คุณ Sam

ขอให้มีกุศลธรรมเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
pat_jesty
วันที่ 6 ก.ค. 2554

เป็นกำลังใจให้คุณ Sam ขอเพียงมีมั่นคงในธรรมะ จากการศึกษาธรรมอยู่เรื่อยๆ

ทำให้ได้ผ่านทุกอย่างไปได้อย่างเข้าใจค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Sam
วันที่ 7 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ