พระธรรมกับการดำเนินชีวิต [ถ้าเข้าใจ ก็ไม่เดือดร้อน]

 
พุทธรักษา
วันที่  5 ก.ค. 2554
หมายเลข  18677
อ่าน  1,733

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรม ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๔ บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปบันทึกเสียง โดย คุณสงวน สุจริตกุล

ผู้ที่ยังติดข้องใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ยังไม่ใช่ พระอนาคามีบุคคล...ย่อมมี "ความติดข้อง" เพราะฉะนั้นประการแรกที่ต้องละเหนือสิ่งอื่นใด คือ"ความเป็นเรา"...."ความเป็นตัวตน"

บางท่านคิดมาก เรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องกิจการ-กิจกรรมเรื่องประโยชน์แต่ละอย่างแต่ว่า จริงๆ แล้ว "ลืม" ว่า ขณะนั้น เป็น "ธรรม" ขณะนั้น เป็น "ธรรม" เพราะ "ขณะนั้น" ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใครเพราะ "ขณะนั้น" เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไปแล้วก็จะต้องสิ้นสุด ความเป็นบุคคลนี้....สิ้นสุดทุกอย่าง ที่เข้าใจว่า มี.!สิ้นสุดจาก ความฉลาด ความคิด ความสามารถทุกอย่างไปสู่ ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก หรือ อสุรกาย ก็ได้

เพราะฉะนั้น ความไม่ประมาท.....เป็นเรื่องละเอียด ก่อนอื่น...ไม่ใช่ไป สละ-โลภะ....โดยไม่รู้ว่า เป็น "ธรรม"-ที่-อารักขาหมายความว่า "สติ" ที่เกิดขึ้น เข้าใจ ว่า ขณะนี้ เป็น ธรรมไม่ใช่เพียงแต่ อารักขา ไม่ให้อกุศลจิตเกิด-เป็นไปใน โลภะ โทสะ โมหะแต่ต้องเพื่อ "ความเห็นถูก" ว่า ขณะนี้ เป็น ธรรม.

การอารักขาด้านอื่นๆ ไม่ให้อกุศลจิตเกิด...ให้เป็นกุศลจิตมากๆ "ด้วยความเป็นเรา"ไม่มีทาง ที่อกุศลจะดับหมดได้ ด้วยเหตุนี้ "โลภะ" ความติดข้อง เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อยังมีปัจจัยให้เกิดแต่ "โลภะ" ก็เป็น "ธรรม"

ประการเดียว ที่จะพ้นจากความทุกข์ใจความไม่หวั่นไหวในสภาพธรรม-ที่เกิดแล้ว เพราะเหตุ-ปัจจัยก็ด้วย "ปัญญา-ความเห็นถูก"ปัญญา ที่เข้าใจว่า ทุกอย่างเป็น "ธรรม" สภาพธรรม เกิดขึ้น...เพียง สติเกิดขึ้น -ระลึก-รู้ ก็ดับแล้วไม่มีเรา ที่ต้องไปทำอะไรอีก

เพียง "สติ-ระลึก"....สภาพธรรมนั้น ก็ดับแล้ว ใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจ ว่า ทุกอย่าง เป็น "ธรรม" ชีวิตของแต่ละคน ก็ต้องเป็นไป ตาม โลภะ โทสะ โมหะ ประโยชน์ ก็คือ จากที่ไม่เคยเข้าใจ "ธรรม" ก็เข้าใจ ว่า "ธรรม" เป็นสิ่งชั่วคราว เกิดแล้วก็หมดไปถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า "ธรรม" เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้...ก็ไม่เดือดร้อน

ความเข้าใจพระธรรมที่มากขึ้น จะทำให้ละคลาย "ความเห็นผิด" ที่ "ยึดถือ" สภาพธรรมทั้งหลาย ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรา เป็นเขาซึ่งความจริง เป็น "ธรรม" ที่เพียงสามารถปรากฏทางตาบ้าง......ทางหูบ้าง ทางกายบ้าง และ ทางใจ ก็คิดนึกแล้วก็หมดไป....นี่คือ ความไม่เที่ยง สิ่งใด สิ่งหนึ่ง เกิด ปรากฏ แล้วก็ดับไป....ควรหรือ ที่จะติดข้อง

เพราะฉะนั้น "ปัญญา" คือ ความเข้าใจ-ความรู้สภาพธรรมทั้งหลาย ตามความเป็นจริง เท่านั้นที่สามารถดับความติดข้อง ความยึดถือ และ ความเห็นผิดว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ที่เกิด-ดับ เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่ง-สิ่งใด ได้


ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panasda
วันที่ 5 ก.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 5 ก.ค. 2554

ประโยชน์ ก็คือ จากที่ไม่เคยเข้าใจ "ธรรม"ก็เข้าใจ ว่า "ธรรม" เป็นสิ่งชั่วคราว เกิดแล้วก็หมดไปถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า "ธรรม" เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้...ก็ไม่เดือดร้อน.

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 5 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aurasa
วันที่ 7 ก.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ คำสอนท่านอาจารย์ ฟัง อ่านกี่ครั้ง ก็ยิ่งย้ำความเข้าใจถูกได้ยิ่งๆ ขึ้น ขอบพระคุณคุณพุทธรักษา ท่านวิทยากรทุกท่าน และสหายธรรม ในเวบบ้านธัมมะทุกท่านที่ได้ช่วยกันตั้งกระทู้ แสดงความคิดเห็น ตามพระธรรม เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ยังรู้น้อย นะคะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ