พระสูตรที่เกี่ยวกับภพหน้า ชาติหน้า
สอบถามชื่อพระสูตรที่เกี่ยวกับภพหน้า ชาติหน้า ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริง ชาตินี้ ชาติหน้าก็คือสภาพธรรมที่มีจริง ทีเป็น จิตและเจตสิกที่
เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันไป แต่เมื่อกล่าวโดยสมมติคือขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น เคลื่อน
จากความเป็นสัตว์ บุคลในชาตินี้ (ตาย) ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิด) เกิดเป็นบุคคลใหม่
มีรูปใหม่นั่นเองครับ จึงเป็นชาติหน้าของชาติก่อน ซึ่งข้อยกข้อความที่เป็นประโยชน์
ในเรื่องชาติหน้ามให้อ่านกันครับ
ชาตินี้มีจริงไหม เมื่อชาตินี้มีจริงได้ ชาติหน้าก็ย่อมมีจริงได้ เวลาคิดถึง
ชาติหนึ่งๆ ก็คิดถึงระยะยาว คือ ตั้งแต่เกิดมาชีวิตก็ล่วงไป เป็นวัน เป็นเดือน
เป็นปี เป็นยี่สิบสามสิบปีต่อๆ ไปจนตาย ก็นับว่าเป็นชาติหนึ่ง แต่ทำไมจึงไม่
ถอยให้สั้นกว่าปี เดือน วัน จนถึงขณะเมื่อกี้นี้กับขณะเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่ขณะเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าแต่ละขณะนั้นล่วงไป ดับไป สิ้นไปเร็วที่สุด
พระผู้มีภาค ฯ ทรงแสดงธรรมว่า ชีวิตดำรงอยู่ เพียงชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้น
แล้วก็ดับไปสืบต่อกันที่ละหนึ่งขณะ เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าหมด
เชื้อหมดปัจจัย ที่จะทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้น เช่น ขณะเมื่อกี้นี้ หมดสิ้นไปแล้ว
ใครจะเรียกร้องให้นามธรรม และ รูปธรรมที่ดับไปเมื่อกี้นี้ กลับคืนมา ไม่ได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว การเกิดขึ้น
แล้วดับไปของรูปธรรม และนามธรรมแต่ละขณะนั้น เป็นเพราะ มีเหตุปัจจัยทำ
ให้เกิดขึ้น
ขณะเมื่อกี้นี้มีจึงทำให้ขณะนี้มี และเมื่อวานนี้มี วันนี้จึงมี ฉันใด วันนี้
มี พรุ่งนี้ก็มี ฉันนั้น เพราะวันนี้เป็นปัจจัยของวันพรุ่งนี้ ถ้าวันนี้ไม่มี พรุ่งนี้ก็
ไม่มี ที่เราเกิดมานี้ ก็เพราะ ความไม่รู้ เราเลือกเกิดไม่ได้ว่า จะเกิดวันไหน
ถ้าเลือกวันเกิดได้ ก็เลือกวันตายได้ เพราะเมื่อตายจากชาติก่อน คือ เมื่อจุติจิต
ของชาติก่อนดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัย ให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น
เป็นจิตขณะแรกของชาตินี้ ซึ่งเกิดสืบต่อ จากจุติจิตของชาติก่อนทันที ไม่มี
ระหว่างคั่นเลย เหมือนกับจิตทุกขณะของวันนี้ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปสืบต่อกัน
อย่างรวดเร็ว
จิตทุกขณะในปัจจุบันชาตินี้ เกิดดับสืบต่อกัน ฉันใด เมื่อจุติจิตของ
ชาตินี้ดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิต เกิดต่อเป็นชาติหน้าทันที ฉันนั้น
ไม่มีใครบังคับจิตนิยาม ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตได้ วิสัยของจิต ที่เกิดดับนั้น
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ฉะนั้น เมื่อยังมีเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด จิตก็ต้องเกิด ผู้ที่ไม่ใช่พระ
อรหันต์นั้นต้องเกิดอีกแน่นอน ถึงแม้ว่าไม่รู้ก็ต้องเกิด เหมือนชาตินี้ ก็ไม่รู้
แต่ก็ต้องเกิด
จิตเป็นนามธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถเอามาเข้าห้อง
ทดลองพิสูจน์อย่างวิทยาศาสตร์ได้ แต่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะที่แท้
จริงของจิตได้ ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ตามหนทางที่พระผู้มีพระภาค ฯ
ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้
-------------------------------------------------------------
สำหรับพระสูตรที่อธิบายเรื่องการมีภพหน้า ชาติหน้าไว้ชัดเจน ก็เป็นพระสูตร
เรื่อง ปายาสิราชัญญสูตร เล่ม 14 ฉบับบมหามกุฎราชวิทยาลัยครับ
หรือที่ลิ้งนี้ครับ
[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 369
รวมทั้งพระไตรปิฎกเล่มอื่นเช่น วิมานวัตถุ ที่แสดงถึงการทำบุญและไปเกิดเป็นเทวดา
ที่เป็นภพหน้าครับ เล่ม 48 และเปตวัตถุที่ทำบาปและไปเกิดเป็นเปรต ในเล่มที่ 49
ฉบับบมหามกุฎราชวิทยาลัยครับ
คลิกที่ลี้งนี้ครับ
[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ควรอธิบายอย่างไรให้คนเข้าใจเรื่องชาติหน้ามีจริง
เกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลกรรม [วิมานวัตถุ]
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ให้ไปอ่านพระไตรปิฏก เล่มที่ 49 ค่ะ (เรื่องเปรต) จริงๆ แล้ว ก็มีหลายเล่ม
มีทั่วไป พระพุทธเจ้าเคยแสดงไว้ว่า ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นพระราชา เคยเกิด
พราหมณ์ เคยเกิดเป็นลิง เคยเกิดเป็นนก ฯลฯ ชีวิตในแต่ละชาติก็ได้ผ่านไป
หมดแล้ว จนชาติสุดท้ายได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อดับขันธ
ปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓หน้า๕๓ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า
“ชนทั้งหลาย บางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ (เกิดในครรภ์)
ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก, ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ
ย่อมไปสวรรค์, ผู้ไม่มีอาสวะ (คือ ไม่มีกิเลส) ย่อมปรินิพพาน”
(จาก ... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)
ชีวิตในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น ไม่พ้นไปจากการเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของนามธรรม (คือ จิตและเจตสิก) และ รูป และเป็นความจริงที่ว่าทุกคนที่ยังเป็นผู้มีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ตัณหา และ อวิชชา ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป เป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์ จากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า จากชาติหน้าก็ไปสู่ชาติต่อๆ ไปอีก ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างและเมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผล กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีก มีเพียงบุคคลประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลย สั้นมาก เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุ คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกต่อไปในชาติต่อไป สำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้ประพฤติธรรม ตั้งอยู่ในธรรมอันงาม เพราะภูมิมนุษย์ เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่องของการให้ทาน รักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นการอ่อนน้อมถ่อมตน การฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เป็นต้นและประการที่สำคัญที่สุด การที่ไม่จะประมาทจริงๆ คือ เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม และจะสะสมเป็นที่พึ่งแม้ในภพต่อไปได้ด้วย ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...