ตายแล้วฟื้นมีจริงหรือไม่

 
พรรณี
วันที่  9 ก.ค. 2554
หมายเลข  18712
อ่าน  6,535

เดี๋ยวนี้เรื่องคนที่ตายแล้วฟื้นกลับมาใหม่ มีคนนำมาเล่าและออกอากาศในรายการทีวีบางรายการมากขึ้น ผู้ที่เล่าก็คือผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง และได้พบกับยมทูต หรือบางท่านได้ถูกพาไปเที่ยวในอบายภูมิมาด้วย แต่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป จึงกลับฟื้นขึ้นมาอีก และได้เล่าบอกเหตุการณ์ที่ตัวเองไปประสบพบมา รายที่เจอยมทูตเล่าว่าตกลงมาจากพื้นชั้น 2 ของห้องแถว เพราะมีวิญญาณของเจ้าที่ดึงลงมา พื้นนั้นเป็นช่องโหว่เขาถ่ายภาพมาให้ดูด้วย เพราะเคยบนไว้ว่าจะตั้งศาลเจ้าที่ให้ถ้าซื้อห้องแถวนี้ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตั้งให้หลังจากที่ซื้อได้แล้ว เมื่อตัวเองตกลงมาก็หมดสติไปและได้พบกับยมทูต เพราะเห็นหน้าและที่ศีรษะมีรูปโค้ง 2 ข้าง แต่เนื่องจากกุศลที่เธอทำไว้เนืองๆ และสามีของเธอได้บอกขออุทิศบุญกุศลไปให้เธอช่วยให้เธอฟื้น บุญนี้จึงส่งผล ยมทูตบอกว่ายังไม่ถึงเวลา จึงนำเธอกลับมาเข้าร่างที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และยืนเฝ้าดูเธออยู่สักพักจึงจากไป

ถ้าเราจะนำมาเทียบกับความหมายของปฏิสนธิจิต หรือภวังคจิต จิตของเธอที่ได้ท่องเที่ยวไปเป็นอะไรคะ แล้วเรื่องแบบนี้เป็นไปได้หรือไม่ อย่างไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่ครับ แต่ไม่ใช่ตายแล้วฟื้น ดังนั้นถ้าฟื้นขึ้นแสดงว่าไม่ได้ตายไป เพียงอาจสลบ ไม่รู้สึกตัวก็ได้ครับ จึงสำคัญว่าตายแล้วฟื้น ซึ่งขณะนั้น ก็อาจมีการคิดนึกสลับก็ได้ คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ ว่าเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ จึงไม่ต่างจากความฝันที่มาจากการคิดนึก และก็พอตื่นขึ้นจากความฝัน ก็เหมือนได้เห็นได้ยินเรื่องราวต่างๆ และก็สามารถมาเล่าได้ ดังนั้น เพราะวิถีจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่สลบหรือไม่รู้สึกตัว ก็อาจจะมีการคิดนึกสลับอยางรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ตายจากความเป็นบุคคลนั้น จึงฟื้นขึ้นได้ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดจริง (ตาย) ตามสภาพธรรมที่เป็นเหตุปัจจัย ที่ต้องเกิดต่อ ที่ยังมีกิเลส ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที แสดงว่าเมื่อตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ จึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นเลย ส่วนที่กำลังสลบไปและไม่รู้สึก บางครั้งก็สลับกับภวังคจิต แต่ขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเลยครับ จึงไม่มีการคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขณะที่จำเรื่องราวต่างๆ ได้ว่าไปทำอะไรมา นั่นแสดงว่าเป็นความคิดนึกสลับในขณะที่ไม่รู้สึกตัวที่คิดผิดว่าตายครับ ขณะที่คิดนึกจึงจำเรื่องราวต่างๆ และก็พอรู้สึกตัว ฟื้นก็เลยจำได้ว่าทำอะไรมา เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นครับ ตามเหตุผลที่กล่าวมา ซึ่งผู้ที่จะเห็นยมบาลได้ คือ ผู้ที่ตายแล้วไปเกิดในนรกทันที ไม่ต้องไปพบพญายม หรือ ยมบาลเพราะทำบาปมากไม่ต้องวินิจฉัย แต่ผู้ที่จะได้พบพญายม คือ ผู้ที่ทำบาปเล็กน้อย จึงได้รับการวินิจฉัย แต่เมื่อไปพบพญายมก็ตายแล้วไปเกิดอีกภพภูมิหนึ่งแล้วทันทีครับ ที่สำคัญประโยชน์ที่จะได้จริงๆ ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การจำได้ ระลึกชาติได้ หรือ เคยเห็นนรก เพราะทุกคนเคยเห็นนรกมาหมดแล้ว ซึ่งการเห็นด้วยตาเปล่าไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา แต่การศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญขึ้นและเข้าใจความจริงว่ามีแต่เพียงสภาพธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคลที่เกิด แต่เป็นเพียงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเท่านั้น คือมีแต่ธรรมไม่ใช่เรา นี่คือการเห็นด้วยปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็ย่อมเห็นโทษของกิเลสมากขึ้น ประโยชน์ของการศึกษาธรรมอยู่ที่ตรงนี้ครับ เพราะอกุศลกรรมเป็นเหตุให้ไปนรก จึงเห็นโทษของกิเลส ไม่ใช่การจะไปเห็นนรกครับ

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natre
วันที่ 9 ก.ค. 2554

เรื่องนี้ผมก็เคยสงสัยมาตลอด ขอบคุณอาจารย์paderm

ที่ไขข้อสงสัยด้วยหลักธรรมอันเป็นปรมัตถ์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พรรณี
วันที่ 9 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณคุณ Paderm ค่ะ ที่ได้ตอบให้ข้อสงสัยตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ว่า การเห็นด้วยตาเปล่าไม่เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา แต่การศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญขึ้นและเข้าใจความจริงว่ามีแต่เพียงสภาพธรรม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 9 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตายแล้ว ไม่ฟื้น ถ้าฟื้น คือ ยังไม่ตาย เพราะตามความเป็นจริงแล้วชีวิต คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ สำหรับในภพนี้ชาตินี้ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต และ จิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิต เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่น ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกรรมอะไร กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ย่อมทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดในสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม ถ้ากรรมชั่วให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน ตามสมควรแก่อกุศลกรรม ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม สังสารวัฏฏ์ยังต้องดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไป ความตาย เป็นสัจจธรรมที่ทุกคนจะต้องพบ ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว ชีวิตที่มีอยู่นี้ ควรจะดำเนินไปอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม?

จะเห็นได้ว่า ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการตาย ไม่ต้องประสบกับทุกข์ใดๆ อีกเลย ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พรรณี
วันที่ 10 ก.ค. 2554

ขอบคุณอาจารย์คำปันและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

ใช่ค่ะคนที่ฟื้นขึ้นมาเพราะจุติจิตยังไม่เกิด แต่การที่พวกเขาได้ไปพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในโลกมนุษย์ และมีความรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนและยังเห็นร่างของตัวเองด้วย ซึ่งถ้าเป็นฝัน เราจะไม่เคยเห็นร่างของตัวเองหรือรูปพรรณสัณฐานของตัวเองเลย มีรายการเช่นนี้ในต่างประเทศเหมือนกัน คนนี้ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถยนต์ อายุราวยี่สิบปี แต่ไม่ได้เห็นยมบาลเหมือนของคนไทย แต่เธอได้ไปในสถานที่สงบสวยงาม จิตใจมีความสุขสดชื่นมาก และมีเด็กๆ ห้อมล้อมเธอและเรียกเธอว่าคุณยาย เธอรู้สึกมีความสุขมาก และเล่าต่อไปว่าพ่อแม่และญาติของเธอได้มาเฝ้าดูเธอที่โรงพยาบาลโดยเห็นคุณพ่อของเธอพูดว่าจะออกไปสูบบุหรี่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งเธอมาเล่าให้พ่อแม่ฟังหลังจากเธอหายดีแล้ว ทุกคนต่างงงว่าเธอรู้ได้อย่างไร เพราะเธอนอนหมดสติอยู่บนเตียงเป็นตายเท่ากัน อันนี้ก็คงเป็นเพราะโสตประสาทของเธอรับรู้การได้ยินในขณะนั้นก็เป็นได้ แต่เธอเล่าว่าเธอเห็นพ่อของเธอเดินออกจากห้องไปด้วย และการที่เด็กเรียกเธอว่าคุณยายนั้นเธอมีความรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก และจะรอให้มีวันนั้นในอนาคต ดิฉันจะพูดว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้จริง ทั้งพิสูจน์ได้และไม่ได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ควรจะติดข้องหรือสนใจในเรื่องเหล่านั้น แต่ควรสนใจศึกษาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เพราะเป็นทางสายตรงที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้จริง

ขอบคุณเว็บไซต์บ้านธรรมะ และขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วินิจ
วันที่ 10 ก.ค. 2554

อ.ผเดิมครับ คนที่บอกตายแล้วฟื้น ไปเห็นนรก สวรรค์ เห็นเทวดา เห็นยมทูต 10 คนก็พูด10 อย่าง รูปลักษณ์ภายนอกต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันเลย อย่างถ้าคนไทยก็มักจะเห็นเทวดาไปทางสวม ”ชฎา” เป็นหลัก แต่รายละเอียดก็แตกต่างกันไป แต่ถ้าเป็นพวก ”ฝรั่ง” ก็จะเห็นไปในแบบฝรั่ง เช่น สวมชุดคลุมสีขาว ตกลงสวรรค์มีหลายแห่งแบ่งตามชนชาติใช่ไหมครับ? ด้วยความเคารพ

ขอบคุณครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 10 ก.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

ใน จักรวาลหนึ่ง ก็จะมีเทวดาแต่ละชั้นเหมือนกันๆ คือ มีชั้นจาตุมหาราชิกา มีชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่มีแยกสวรรค์ของชนชาติต่างๆ เลยครับ แต่ที่เราคิดว่ามีสวรรค์แบบต่างๆ กัน เพราะเป็นความคิดของผู้ที่ไม่รู้ ไม่เห็นเทวดา จึงจินตนาการตามความคิดของตน เหมือนคนตาบอด แต่ละประเทศ แต่ละคน ก็จินตนาการในสิ่งที่ตนเองไม่เห็น ไปเป็นแบบต่างๆ เพราะฉะนั้น สวรรค์จึงไม่แบ่งแยกตามแต่ละประเทศ เหตุผลที่สำคัญคือ กุศลกรรมที่ทำ ก็ต้องเป็นกุศลกรรม กุศลกรรมไม่มีแบ่งชนชั้น ไม่แบ่งตามคนแต่ละประเทศ เกิดกับใคร ก็เป็นกุศล ไม่เปลี่ยนลักษณะ ไม่ว่าเกิดกับชนชาติใดทั้งสิ้น ดังนั้น การเสวยผลของกรรมที่เกิดจากกุศลกรรมที่ไม่เปลี่ยนลักษณะไปตามแต่ละประเทศ แต่ละคนก็เป็นสถานที่เดียวกัน อันเป็นที่เสวยผลของกรรมที่เป็นกุศลกรรมเช่นกันนั่นเองครับที่เป็นสวรรค์ ดังนั้น คนที่ไม่รู้ การไม่เห็นเทวดา เพราะการเห็นเทวดาต้องมีเหตุ เช่น เทวดาเนรมิตรูปหยาบ หรือ คนนั้นมีทิพยจักขุจึงจะเห็นได้ ดังนั้นก็จินตนาการตามสิ่งที่ไม่เห็น จึงทำให้มีเทวดาตามลักษณะที่ต่างๆ กัน ตามความคิดของคนที่ไม่เห็นต่างๆ กันไปนั่นเอง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วินิจ
วันที่ 10 ก.ค. 2554

ขอเรียนถามอ.ผเดิมเพิ่มเติมครับ...

1. บางท่านเคยเล่าจากประสบการณ์จริงว่า เมื่อฝึกสติปัฏฐานมากๆ เข้า บางครั้งเมื่อประสบเหตุการณ์บางอย่าง เช่น อุบัติเหตุ คล้ายเหมือนว่า ”จิต” จะมีสัญชาตญาณ (หรืออาจตกใจ-เติมเอง) แล้วออกจากร่างชั่วขณะและสามารถเห็นร่างของตัวเองในสภาพตามความเป็นจริง เหมือนว่ามียางเหนียวเท่าใยบัวเชื่อมอยู่ จึงสามารถเข้าร่างคืนได้ และเมื่อเข้าร่างแล้วจึงรู้สึกตัวในร่างนั้นและค่อยๆ รู้สึกเจ็บปวดตามสภาพที่เป็นจริง แต่ตอนออกจากร่างและเห็นร่างตัวเองบาดเจ็บนั้น ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด...

2. บางท่าน (น่าจะเป็นพระ) เคยเล่าว่า เมื่อฝึก ”สมถะเข้าฌาน” ถึงระดับหนึ่ง จะสามารถ “ถอดจิต” ออกจาก ”ร่าง” ได้ และคล้ายข้อ 1 คือคล้ายมียางเหนียวเท่าใยบัวเชื่อมอยู่ และสามารถมองเห็น ”ร่างตัวเอง” ที่กำลังนั่ง ”เข้าฌาน” อยู่ และเหมือนกับว่าจะต้องไม่ให้ใครมาแตะต้องหรือเปลี่ยนสภาพของร่าง เพราะอาจทำให้ไม่สามารถเข้าร่างคืนได้ และถ้ามีใครมาเรียกในขณะนั้นก็จะเหมือนได้ยินเสียงเบาๆ จากที่ไกลๆ เช่นนี้คืออย่างไรครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 10 ก.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

1. จากคำถามข้อที่ 1 การเจริญสติปัฏฐาน ผลไม่ใช่ได้การเห็นตัวเองออกจากร่าง ผลคือปัญญาเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ละคลายความไม่รู้ครับ ผลของการเจริญวิปัสสนา หรือ สติปัฏฐาน คือ ปัญญาครับ ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ให้เข้าใจได้เลยว่า ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน แต่เป็นการเจริญหนทางผิดครับ

2. เรื่องการถอดจิต หากไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด ก็สำคัญว่าถอดจิตได้ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น และที่สำคัญการอบรมภาวนา ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญาครับ

เชิญคลิกอ่านเรื่องการถอดจิตครับ

ปัญหาเรื่องการถอดจิต และนั่งสมาธิแล้วเห็นตัวเองมี 2 ร่าง

ถอดจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 10 ก.ค. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วินิจ
วันที่ 11 ก.ค. 2554

...ขอบคุณอ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pamali
วันที่ 12 ก.ค. 2554

-ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ