ขณะที่ให้ กับขณะก่อน และหลัง

 
WS202398
วันที่  12 ก.ค. 2554
หมายเลข  18730
อ่าน  2,482

ก่อนให้หวังกุศลวิบากด้วยโลภะ

ขณะไห้?????

หลังให้ขอให้วิบากของกุศลส่งผลอย่างนั้นอย่างนี้

* * * * * * * *

ถามว่า ขณะให้คือขณะให้จริงๆ นั้น จะเป็นกุศลหรืออกุศล

คือสงสัยว่าขณะให้ที่เป็นอกุศลมีหรือไม่ เช่น

* * * * * * * *

ก่อนให้หวังกุศลวิบากด้วยโลภะ อกุศล

ขณะไห้ อกุศล

หลังให้ขอให้วิบากของกุศลส่งผลอย่างนั้นอย่างนี้ อกุศล

* * * * * * * *


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คงต้องแยกคำว่าให้ กับ ทาน ก่อนนะครับ คำว่าให้ ไม่ได้หมายถึงจะต้องเป็นกุศล

เสมอไป บางคนให้ เพื่อแลกเปลี่ยน ให้เพราะตั้งใจจะทำร้าย ขณะที่ให้ ไม่ใช่กุศล

ไม่ได้มีเจตนาสละ ที่เป็นอโลภะ ที่เป็นกุศลจิต แต่เป็นการให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจิตที่

เป็นอกุศลครับ แต่การให้ที่เป็นกุศลก็มี เป็นทานครับ ดังนั้นเมื่อให้ไม่จำเป็นจะต้อง

เป็นกุศลเสมอไปครับ นี่พูดถึงคำว่าให้ แต่เมื่อกล่าวถึง คำว่าทาน คือเจตนาสละวัตถุ

อันเป็นอโลภะ คือ ความไม่ติดข้องในขณะนั้น ด้วยจิตที่เป็นกุศล ขณะนั้นที่เป็นทาน

จะต้องเป็นกุศลเสมอครับ

เมื่อเข้ามาถึงประเด็นเจตนาก่อนที่จะให้ทาน เจตนาขณะที่ให้ทาน และเจตนาหลัง

ให้ทาน ก่อนให้ทาน จิตเป็นกุศลก็ได้ รวมทั้งมีปัญญาก่อนให้ก็ได้ครับ แต่ก็เป็นอกุศล

ก็ได้ มีความต้องการหวังผลของบุญก่อนให้ เป็นต้น ขณะหลังให้ทาน ระลึกถึงทานที่

ให้ด้วยจิตที่เป็นกุศลก็ได้ หรือระลึกถึงทานด้วยความสำคัญตนว่าเราให้มาก เป็นอกุศล

ก็ได้ครับ ดังนั้นเมื่อพูดถึงทานแล้ว ก่อนให้ทานและหลังให้ทาน เป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็

ได้ครับ แต่ขณะที่ให้ทาน เจตนาสละเกิดขึ้น อโลภเจตสิกเกิดพร้อมกับเจตสิกฝ่ายดี

อื่นๆ เกิดขึ้นในขณะนั้น ขณะให้ทานจึงเป็นกุศลเท่านั้นครับ ซึ่งอาจจะไม่รู้สึกเลย แต่

เป็นกุศลแล้ว อาจเพราะมีกำลังอ่อนนั่นเอง และการจะรู้ได้ก็ต้องเป็นสติและปัญญารู้ใน

ขณะที่ให้ทานครับ ซึ่งขณะที่ให้ทานก็ต้องเป็นกุศลจิตเท่านั้นครับ แต่เพระการเกิดดับ

ของจิตทีเกิดต่ออย่ารวดเร็ว ปิดบังไม่ให้รู้ความจริงในขณะให้ จิตที่มีความต้องการก็เกิด

ต่ออย่างรวดเร็วโดยเหมือนเป็นขณะเดียวกับการให้ครับ แต่ขณะที่เจตนาสละ ให้ทาน

ในขณะนั้น แม้จะเป็นกุศลเพียงเล็กน้อยไม่มีกำลัง แต่ก็เป็นกุศแล้วในขณะนั้นครับ

นี่แสดงถึงความละเอียดของสภาพธรรมและการเกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วนั่นเองครับ

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
WS202398
วันที่ 12 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ ขอคำอธิบายเพิ่มเติมครับ ทิ้งของที่ไม่ต้องการหนึ่ง ให้

เพื่อแลกเปลี่ยนหนึ่ง ให้เพราะคิดว่าจะได้กุศลวิบากหนึ่ง ทานหนึ่ง ต่างกันอย่างไรครับ

โดยเฉพาะที่ว่า ทานคือเจตนาสละ ต่างจากการทิ้งอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 12 ก.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ขณะที่ทิ้งของ ขณะนั้นไมได้มีเจตนาสละ ให้เพื่อประโยชน์สุขกับบุคคลอื่นเลย

จึงไม่มีเจตนาสละที่เป็นอโลภะ ความไม่ติดข้องในขณะนั้นครับขณะที่ทิ้งของก็ด้วย

เจตนาทิ้งของไม่ใช่เจตนาที่สละเพื่อบุคคลอื่นครับ การให้เพื่อการแลกเปลี่ยน ให้

ขณะนั้น ไม่ใช่เจตนาสละเพื่อประโยชน์กับบุคคลอื่นจริงๆ แต่เจตนาต้องการที่จะได้มา

เป็นโลภะ จึงไม่ใช่อโลภะครับที่ไม่ติดข้องในขณะนั้น ขณะที่ให้ทานด้วยเจตนาสละ

ที่เป็นอโลภะ เป็นกุศล แต่ขณะที่หวังผลของทาน ไม่ใช่ขณะที่ให้ทาน คนละขณะกัน

ครับเป็นอกุศลในขณะที่หวังผลครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 13 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละขณะนั้น เป็นธรรมทั้งหมด มีแต่ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมแต่ละหนึ่งๆ จริงๆ แม้แต่การให้ทาน ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมแล้ว ทานได้แก่ จาคเจตนา เจตนาที่สละ อันมีความไม่ติดข้องคืออโลภะเป็นเหตุ ทาน จึงเป็นเจตนาในการสละวัตถุของประการต่างๆ อันเป็นสิ่งที่ควรให้ มีข้าว น้ำ เป็นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ในขณะที่ให้ทานนั้น เป็นการสละความเห็นแก่ตัว สละความตระหนี่ แต่จิตเกิดดับสือต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะในขณะที่ให้เท่านั้นก่อนหน้านั้นก็จะต้องมีจิตเกิดขึ้น และ หลังจากนั้น ก็มีจิตเกิดขึ้น เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ว่าจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ขณะที่หวังผล หรือ ต้องการผล ก็เป็นธรรมที่มีจริงประการหนึ่ง คือ โลภะ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมจริงๆ ว่าอกุศล เป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล ทำให้เห็นเลยว่า อกุศลมีมาก พร้อมที่จะเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ ทำให้จิตใจสกปรกได้เสมอ เพราะฉะนั้นแล้ว ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่เจริญกุศลทางหนึ่งทางใด ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศลเกิดเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะขณะที่จิตไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา แล้วนอกนั้นก็เป็นอกุศลทั้งหมด[ถ้าไม่กล่าวถึงขณะที่เป็นวิบาก และ กิริยา] ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะที่จิตเป็นกุศล แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็มีค่ากว่าอกุศล และที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบ ในการเจริญกุศล ว่า ทุกอย่างทุกประการ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การช่วยเหลือผู้อื่น รวมไปถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สักการะสรรเสริญ หรือหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใด เลย พระธรรม เป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องติดข้องต้องการ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
WS202398
วันที่ 13 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ