แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

 
lovedhamma
วันที่  23 ก.ค. 2554
หมายเลข  18797
อ่าน  4,098

ในปัจจุบันมนุษย์เรา * ส่วนใหญ่ * ที่เป็นคนไทยในปัจจุบัน มักแยกแยะไม่ออกว่า อะไรคือ ศาสนา และ อะไรคือประเพณี เพราะทุกวันนี้ เรามักจะนำทั้ง 2 เรื่องมารวมกัน แล้วคิด ว่าเป็นทำนอง/เรื่องเดียวกัน

อยากถามหน่อยน่ะครับว่า ความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าหรือ ศาสนาพุทธที่เรานับถือ ต้องการให้ชาวพุทธ/พุทธศาสนิกชนเราทำตัวให้เป็น "พุทธแท้" อย่างไรครับ * นับเฉพาะเรื่องศาสนานะครับ * ไม่นับประเพณี


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ประเพณี หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่กำหนดพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ ที่คน ในสังคมยึดถือปฏิบัติสืบกันมา ดังนั้นประเพณีจึงแตกต่างไปตามสังคม แตกต่างกันไป ตามกลุ่มชนที่มีความคิดที่แตกต่างกันไปนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นประเพณี จึงไม่ใช่ สัจจะ เพราะประเพณีก็คือเกิดจากความคิดของปุถุชนที่เห็นว่าดีงาม และแปรเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา ตามยุคสมัยและตามกลุ่มชนแต่ละกลุ่มชนครับ

แต่พระธรรมที่พระองค์ แสดง คือ ศาสนาพุทธ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามยุคสมัยเลย เพราะเป็น สัจจะ ความจริงเป็นความจริง ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มชนใด สังคมใด ความจริงไม่แปรเปลี่ยน ไปตามความนึกคิด ค่านิยม กาลเวลา ยุคสมัยครับ

เช่น สัจจะ ความจริงที่พระองค์ แสดงว่า อกุศลเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ดังนั้น อกุศลธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ว่าจะ เกิดกับใคร บุคคลใด สมัยไหน เวลาใดก็เป็นสภพาธรรมที่ไม่ดี นำมาซึ่งโทษกับตนเอง และผู้อื่น แม้สังคมนั้นจะกล่าวว่าอกุศลดี ก็ไม่เป็นไปตามประเพณีนั้นเลยครับ โดยนัย เดียวกัน กุศลเป็นสภาพที่ดี ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและกลุ่มชนใดเลย กุศลเกิด กับใคร ยุคสมัยไหนก็ไม่เปลี่ยนลักษณะ กุศลก็ต้องเป็นกุศลครับ แม้ว่าประเพณี สังคม นั้นจะกล่าวว่ากุศลแบบนั้นไม่ดีก็ตามครับ

ดังนั้นการจะเข้าใจความแตกต่าง แยกออกระหว่างประเพณีและศาสนาได้ก็ด้วยการ ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพคือละเอียดรอบคอบ ก็จะเข้าใจสัจจะความจริง เมื่อเข้า ใจความจริงก็จะแยกออกระหว่างสิ่งที่ไม่จริงอันเป็นสิ่งที่ชาวโลก ยึดถือเป็นข้อปฏิบัติ กับสิ่งที่เป็นความจริง เป็นสัจจะที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าคือพระพุทธศาสนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ค. 2554

ดังนั้นจากคำถามที่ว่า

อยากถามหน่อยน่ะครับว่า ความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธที่เรานับถือ ต้องการให้ชาวพุทธ/พุทธศาสนิกชนเราทำตัวให้เป็น "พุทธแท้"อย่างไรครับ * นับเฉพาะเรื่องศาสนานะครับ * ไม่นับประเพณี


พุทธ คือ ผู้รู้ รู้ด้วยอะไร ด้วยปัญญา ดังนั้นพระพุทธศาสนา คือคำสอนที่เป็นไปเพื่อ ความเจริญของปัญญานั่นเองครับ

เพราะฉะนั้นการจะเป็นพุทธแท้ คือ การเข้าใจ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างถูกต้อง อันเกิดจากการศึกษาพระธรรม นี่คือ ถึงความเป็นพุทธแท้ เพราะพุทธ คือ ผู้รู้ รู้ด้วยปัญญานั่นเองครับ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โปรดพุทธบริษัทไม่ใช่เพื่อต้องการ ลาภ สักการะ สรรเสริญหรือสิ่งต่างๆ แต่ที่พระองค์บำเพ็ญบารมีมานับชาติไม่ถ้วน สละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่ออะไรครับ เพื่อให้สัตว์โลกได้มีปัญญา เข้าใจความจริง เพื่อดับกิเลสและพ้นทุกข์ ได้จริง คือ ไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ครับ

นี่คือจุดประสงค์ของพระองค์ที่บำเพ็ญบารมีมา และแสดงธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงครับ

ศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่เพียงแค่การทำความดี แต่ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ เป็นเรื่องของความเข้าถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ อันเป็นปัญญา ที่เกิดตามความเป็นจริง เพื่อละเหตุของทุกข์คือกิเลส ความไม่รู้ เป็นต้นนั่นเองครับ

พุทธที่แท้จึงไม่พ้นเรื่องของปัญญา ซึ่งปัญญาจะเกิดได้จากการฟังพระธรรม ศึกษา พระธรรมนั่นเองครับ

ดังนั้นการจะเป็นผุ้นับถือศาสนาพุทธ จึงไมใช่เพราะตีตราที่บัตร ประชาชน หรือ นับถือตามๆ กันมา แต่การเป็นชาวพุทธที่ดี พุทธแท้ตามที่ท่านผู้ถาม ใช้คำนี้คือ เป็นชาวพุทธด้วยใจที่เข้าใจพระธรรม อันเป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษา พระธรรม ฟังพระธรรมนั่นเอง ดังนั้นศาสนาพุทธจุดประสงค์คือ เพื่อความเจริญขึ้นของ ปัญญา เพราะปัญญานั้นเองที่ดับกิเลส พ้นจากทุกข์ที่แท้จริงได้ครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งปวงเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะความเข้าใจธรรม เข้าใจในสิ่งที่มีจริงนั้น เป็นประโยชน์มาก พระบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมา ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้มีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด ถึงแม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วแต่ก็ยังมีพระธรรมวินัย เป็นศาดาแทนพระองค์ ซึ่งพระธรรมจะไม่มีวันสูญหายไปจากใจของได้ฟังได้ศึกษาและมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง และในยุคนี้สมัยนี้ เป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษา

เพราะยังไม่รู้ ก็จะต้องศึกษา เพื่อจะได้รู้ ได้สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ต่อไป สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา ไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เกิดขึ้นมาก [มีมาก] ล้วนเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลประการต่างๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเห็นผิด

ดังนั้น จึงต้องเริ่มสะสม อบรมเจริญปัญญา ด้วยตนเองเห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ไปตามลำดับ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา อยู่ที่ความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง และประการที่สำคัญ พระพุทธศาสนา หมายถึง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษาแล้ว จะเข้าใจได้อย่างไร? ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
toh4u
วันที่ 24 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เวลาอธิบายแบบนี้มักจะมีคนถามกลับเสมอว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ และเข้าใจ และเผยแพร่ นั้น เป็น ความจริง เป็นสัจจะ ที่จริงแท้แน่นอน ใคร สามารถตอบได้ .. ครั้นตอบว่า อยากรู้จริงหรือไม่จริง ก็ต้องศึกษาและพิจารณา ตาม ไป พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด จะต้องศึกษา .. เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน . แล้วถูกถาม กลับมาอีกว่า แล้วจะศึกษาและพิจารณา หรือปฎิบัติ อย่างไร ก็ต้องตอบกลับไปว่า ศึกษาและพิจารณา ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส ... พระพุทธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิก บาน ด้วยพระองค์เอง ...

แต่แล้วมันก็ย้อนไปที่คำถามแรก ..ซึ่งก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ก็ คงแล้วแต่ปัญญาและการสะสม ของคนเราที่ไม่เท่ากัน แหลพมั้งหลังๆ มานี่ เลยคิดหา การตอบกลับใหม่ ... ผมก็เลย จะชี้แนะ เขาไปว่า ... ก็ไม่ต้อง คิดว่า มีพระพุทธเจ้า หรือ ว่าพระพุทธเจ้า ได้ตรัสอะไรไว้ ไม่ต้องไม่นึกถึง บทพระธรรม บทสวดต่างๆ พิจารณา สิ่งที่ปรากฎตรงหน้า นั้นเองเถอะ ว่า อะไรมีจริงๆ สิ่งที่มากระทบตา หู จมูล ลิ้น กาย ใจ เหล่า นั้น เป็นอย่างไร ..ลักษณะ ที่รับรู้ได้จริงๆ นั้น เป็นเช่นไร ... ตัดทอนให้ถึงหน่วย ย่อยๆ จริงๆ ว่า อะไรที่ มีจริงๆ กันแน่ ... แล้วก็อธิบาย เรื่่อง สภาพธรรม ที่พอจะเข้าใจ และก็ให้เขาพิจารณา ตามและจบด้วย สิ่งนี้แหละที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ... หาได้ใช่ พิธีกรรม หรือ วัตถุ ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ แล้วก็บอกให้เขาพิจารณาอยู่เป็นเนืองๆ แล้วก็ บอกให้ลองศึกษาพระธรรมดู จะได้รู้ว่า พระธรรม มิใช่ ความเชื่อ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lovedhamma
วันที่ 25 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nui_sudto55
วันที่ 24 ส.ค. 2566

ขออนุโมทนาครับ ขอสั่งสมความเข้าใจด้วยการฟังต่อไป เป็นบุญผมแล้วที่ได้พบเจอหมู่คณะเช่นท่านทั้งหลาย ขอสาธุกาลครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ