การเกิด ดับของรูป

 
jadesri
วันที่  27 ก.ค. 2554
หมายเลข  18814
อ่าน  2,286

เนื่องจากผมพิจารณาธรรมะ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามหลักพระไตรลักษณ์ เป็น

วิหารธรรม และมีข้อสงสัยบางประการ กระผมจึงขอเรียนถามดังนี้

๑. ส่วนที่เล็กที่สุดของรูปทางธรรมเรียกว่า กลาป ทางวิทยาศาสตร์ เรียกปรมาณู

คืออันเดียวกันหรือไม่ครับ

๒.อายุของรูป ๑ กลาป เท่ากับ ๑๗ ขณะจิต ใช่หรือไม่ครับ

๓. เรียนถามเฉพาะการเกิดของภพภูมิ มนุษย์ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดในครรภ์มารดาจะ

เกิดพร้อมกับกรรมชรูป เมื่อปฏิสนธิจิตดับ เกิดภวังคจิตสืบต่อเนื่องกันไปเพื่อดำรงค์ภพ

ชาตินั้น กรรมชรูปจะดับเมื่ออายุครบ ๑๗ ขณะจิตใช่หรือไม่ครับ ก่อนกรรมชรูปจะดับ จะ

เกิดรูปที่เกิดจากอาหาร อุตุ จิตและกรรม แต่ละรูปที่เกิดในส่วนที่เล็กที่สุดเป็น กลาป จะ

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ทุก ๑๗ ขณะจิต นอกจะนี้รูปที่เกิดจากแต่ละเหตุจะเกิดเพิ่มขึ้น

เรื่อยๆ เจริญเติบโตเป็นเด็กอ่อนในครรภ์มารดา เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดาจะมีรูป

ที่เกิดจากเหตุทั้ง ๔ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ขณะรูปที่เกิดขณะที่อยู่ในครรภ์ดับไปแล้วเป็น

ส่วนใหญ่ กระผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ครับ ผมใช้พิจารณาความไม่เที่ยง และ

ควบคุมบังคับไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายนี้ จนวาระสุดท้ายไม่มีรูปเกิดขึ้น

ทดแทนรูปที่ดับไปร่างกายจึงตายและจิตอาศัยอยู่ไม่ได้

๔. รูปที่กระทบจักษุทวาร จะดับพร้อมกับจักษุวิญญาณหรือมีอายุ ๑๗ ขณะจิตครับ

ที่ผมเรียนถามเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง หากไม่ถูกต้องจะรีบแก้ไข หรือไม่ควร

พิจารณาอย่างนี้กระผมจะได้หาวิธีอื่นต่อไป แต่ผลการปฏิบัติที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าร่าง

กายและจิตใจนี้เป็นเพียงธรรมชาติ เหมือนสายลม เมื่ออากาศมีอุณหภูมิไม่เท่ากันก็เป็น

ปัจจัยให้เกิดลม และลมก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามเหตุ เป็นอย่างนี้เฉพาะตอน

พิจารณา แต่พอเลิกพิจารณาตัวตนก็กลับมาเหมือนเดิมทุกประการครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

๑. ส่วนที่เล็กที่สุดของรูปทางธรรมเรียกว่า กลาป ทางวิทยาศาสตร์ เรียกปรมาณู คือ

อันเดียวกันหรือไม่ครับ กลาป หมายถึง กลุ่มของรูปซึ่งประชุมรวมกันอยู่ เป็นส่วนที่เล็กที่สุดของรูปธรรม

ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์ ส่วนละเอียดของรูปธรรมนี้อย่างน้อยที่สุดมี ๘ รูป

ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา เรียกกลุ่มนี้ว่า อวินิโภครูป (รูปที่ไม่

สามารถแยกออกจากกันได้) หรือ สุทธัฏฐกกลาป (กลุ่มของรูปที่มี ๘ รูปล้วน) กลาปหรือกลุ่มของรูปไม่ได้มีเพียง ๘ รูปเท่านั้น บางกลาปมี ๙ รูป บางกลาปมี

๑๐ รูปบางกลาปมี ๑๑, ๑๒, ๑๓ รูป ส่วน ปรมาณูหรืออะตอม (ATOM) คือชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดของสสารที่ยังคงคุณสมบัติ

ของธาตุอยู่ได้ อะตอมประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนแกนกลางที่เรียกว่า นิวเคลียส ซึ่ง

เป็นส่วนที่มีมวลสาร (มากที่สุด) และอยู่ตรงใจกลางของอะตอม และส่วนล้อมรอบ คือ

อาณาบริเวณที่อนุภาคอิเล็กตรอนหมุนวนรอบนิวเคลียสอีกทีหนึ่ง ซึ่ง ปรมาณูหรือ

อะตอม ไม่สามารถจะแยกย่อยได้อีกด้วยวิธีเคมี จะเห็นนะครับว่า ปรมาณูหรืออะตอม นั้น แบ่งเป็นเพียง 2 ส่วนเท่านั้น ซึ่งปรมาณูก็

เกิดจากความคิด การวิเคราะห์ด้วยเครื่องมืองานวิจัยของปุถุชน ไม่ใช่พระปัญญาคุณ

ของพระพุทธเจ้าที่ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง ดังนั้น ปรมาณูหรืออะตอม

ยังไม่ใช่กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด ที่เป็นกลาป ที่มีสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ทั้งหมด 8 รูป

ไม่ใช่ ปรมาณูหรืออะตอม ที่แบ่งเป็น 2 ครับ ดังนั้นกลาปจึงเป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด

ที่แยกจากกันไม่ได้แล้ว จึงละอียดกว่า ปรมาณูหรืออะตอม ตามความคิดของปุถุชน

อย่างมากครับ เทียบกันไมได้เลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ค. 2554

๒.อายุของรูป ๑ กลาป เท่ากับ ๑๗ ขณะจิต ใช่หรือไม่ครับ

อายุของรูปแต่ละรูปใน 1 กลาป เท่ากับการเกิดดับของจิต 17 ขณะครับ

-----------------------------------------------------------------------------

๓.เรียนถามเฉพาะการเกิดของภพภูมิ มนุษย์ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดในครรภ์มารดาจะเกิด

พร้อมกับกรรมชรูป เมื่อปฏิสนธิจิตดับ เกิดภวังคจิตสืบต่อเนื่องกันไปเพื่อดำรงค์ภพชาติ

นั้น กรรมชรูปจะดับเมื่ออายุครบ ๑๗ ขณะจิตใช่หรือไม่ครับ ก่อนกรรมชรูปจะดับ จะเกิด

รูปที่เกิดจากอาหาร อุตุ จิตและกรรม แต่ละรูปที่เกิดในส่วนที่เล็กที่สุดเป็น กลาป จะเกิด

ขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ทุก ๑๗ ขณะจิต นอกจะนี้รูปที่เกิดจากแต่ละเหตุจะเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เจริญเติบโตเป็นเด็กอ่อนในครรภ์มารดา เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดาจะมีรูปที่เกิด

จากเหตุทั้ง ๔ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ขณะรูปที่เกิดขณะที่อยู่ในครรภ์ดับไปแล้วเป็นส่วน

ใหญ่ กระผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ครับ ผมใช้พิจารณาความไม่เที่ยง และควบคุม

บังคับไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายนี้ จนวาระสุดท้ายไม่มีรูปเกิดขึ้นทดแทน

รูปที่ดับไปร่างกายจึงตายและจิตอาศัย อยู่ไม่ได้

-----------------------------------------------------------------------------

จากที่กล่าวมาถูกต้องแล้วครับ คือ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ก็มีรูปที่เป็นกัมมัชชรูป ที่

เป็นกัมมัชรูปในขณะนั้นพร้อมกัน คือ ภาวรูป หทัยรูป กายปสาทรูป เป็นต้นครับ ใน

ขณะอุปทาขณะของปฏิสนธิจิตครับ แต่ยังไม่มีรูปอื่นๆ ที่เกดขณะปฏิสนธิจิต มีแต่ กัม

มัชชรูปครับ แต่เมื่อปฏฺสนธิจิตดับไป ปฐมภวังค ภวังคจิตแรกทีเกิด เป็นปัจจัยให้รูป

อื่นๆ เกิดต่อ เช่น จิตตชรูป เป็นครับ และรูปอื่นๆ ที่เกิดจาก อุตุ อาหาร และจิตก็เกิดขึ้น

และดับไปอย่างนี้ จนเป็นความเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นด็กทารกอยู่ในครรภ์นั่นเอง

ครับและก็เมื่อออกจากครภ์ รูปอื่นๆ ก็เกิดดับสืบต่อกันไป ตามแต่ละรูป แต่ละสมุฏฐาน

ของรูปครับ ดังนั้นรูปทุกประเภทก็ต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะและก็ดับไป กัม

มัชชรูปก็เช่นกันครับ เมื่อเกิดขึ้นก็ตั้งอยู่ เสื่อมไปและดับไปเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะ

นั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ค. 2554

ส่วนจากคำกล่าวที่ว่า

ผมใช้พิจารณาความไม่เที่ยง และควบคุมบังคับไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย

นี้จนวาระสุดท้ายไม่มีรูปเกิดขึ้นทดแทนรูปที่ดับไปร่างกายจึงตายและจิตอาศัย อยู่ไม่ได้

--------------------------------------------------------------------------

ธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งครับ แม้แต่การเข้าใจเรื่องการเกิดดับของสภาพธรรม

ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกที่อธิบายการพิจาณาเรื่องความไม่เที่ยง ของสภาพธรรมนั้น

เป้นปัญญาระดับสูง ระดับวิปัสสนาญาณครับ ไม่ใช่ปัญญาขั้นต้น และไม่ใช่เป็นปัญญา

ขั้นคิดนึก ตรึกพิจารณาอย่างนี้ครับ ดังนั้น เราจะต้องศึกษาด้วยความเข้าใจถูกว่า

ปัญญาขั้นต้นที่สำคัญนั้น ปัญญารู้อะไรเป็นอันดับแรก ใช่การู้การเกิดดับของสภาพ

ธรรมหรือความไม่เที่ยงของสภาพธรรมหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ แต่ปัญญาขั้นต้น

ต้องรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ รู้ตัวธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราก่อนครับ

ดังนั้นถ้ายังไม่รู้จักตัวธรรม จะไปเห็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่เป็นระดับวิปัสสนา

ญาณไม่ได้เลยครับ เมื่อยังไม่รู้จักตัวธรรม แต่จะเห็นควาไม่เที่ยงอขงสภาพธรรมไมได้

เพราฉะนั้นหนทางที่ถูกต้องคือ ปัญญาเป็นไปตามลำดับ คือ การเข้าใจตัวธรรมที่มีใน

ขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราก่อนครับ จึงจะเห็นความไม่เที่ยงได้ ซึ่งไกลและแสนยาก

และต้องอาศัยระยะเวลายาวนานในการอบรมปัญญาครับ ดังนั้นพระธรรมที่เป็นความไม่

เที่ยง จึงไม่ใช่กาคิดพิจารณา แต่เป็นการรู้ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้

จริงๆ ว่าไม่เที่ยง เพราะขณะนี้โลกรวมกัน เที่ยง เห็นต้องเกิดดับ แต่ไม่เห็นว่าดับเลย ที่

ปรากฎในขณะนี้ ปัญญาขั้นสูงมากเท่านั้นที่จะเห็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมในขณะ

นี้ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจในเรือ่งสภาพธรรมเป็นเบื้องต้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ค. 2554

๔. รูปที่กระทบจักษุทวาร จะดับพร้อมกับจักษุวิญญาณหรือมีอายุ ๑๗ ขณะจิตครับ

รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะ เมื่อรูปกระทบกับจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้เกิด

ปัญจทวาราวัชชนจิตและเกิดการเห็น จักขุวิญญาณจิต แต่รูปยังไมได้ดับไป แต่รูปคือ

สี สามารถดับไปในโวฏฐัพพนะจิต เพราะอารมณ์มีกำลังอ่อน และรูปเกิดดับไปแล้วก่อน

หน้านี้ รวมเป็น 17 ขณะจิต จึงดับที่โวฏฐัพพนจิต เรียกว่า โวฏฐัพพนะวาระครับ แต่

รูปคือ สีที่มากระทบกับจักขุปสาท ต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะครับ ดังนั้น รูป

คือ สีทีเป็นรูปารมณ์ จึงยังไมได้ดับพร้อมกับจักขุวิญญาณครับ แต่รูปสามารถกระทบ

จักขุปสาทแต่ไม่เกิดการเห็นก็ได้ เรียกว่า โมฆะวาระก็ได้ครับ แต่ยังไงก็แล้วแต่ รูปต้อง

มีอายุเกิดดับเท่ากับ 17 ขณะจิตและรูปคือ สีจะไม่ดับไปขณะที่จักขุวิญญาณจิต พร้อม

จักขุวิญญาณจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ค. 2554

จากคำกล่าวที่ว่า

ที่ผมเรียนถามเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง หากไม่ถูกต้องจะรีบแก้ไข หรือไม่ควร

พิจารณาอย่างนี้กระผมจะได้หาวิธีอื่นต่อไป แต่ผลการปฏิบัติที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าร่าง

กายและจิตใจนี้เป็นเพียงธรรมชาติ เหมือนสายลม เมื่ออากาศมีอุณหภูมิไม่เท่ากันก็เป็น

ปัจจัยให้เกิดลม และลมก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามเหตุ เป็นอย่างนี้เฉพาะตอน

พิจารณา แต่พอเลิกพิจารณาตัวตนก็กลับมาเหมือนเดิมทุกประการครับ

-------------------------------------------------------------------------

ตามที่กล่าวแล้วครับ การพิจารณาเรื่องสภาพธรรมเป็นเพียงความคิดนึกถึงสภาพ

ธรรม และผลของการคิดนั้นก็ไมได้รู้จักตัวธรรมจริงๆ ที่จะสมารถไถ่ถอนความเห็นผิดว่า

เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคลได้ครับ ดังนั้นขอให้เริ่มใหม่ด้วยควาเห็นถูกว่า ปัญญาจะต้องรู้ว่า

เป็นธรรมไม่ใช่เราก่อนอันเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจแม้แต่คำว่าธรรมคืออะไรครับ

เมื่อเริ่มจากความเห็นถูกเบื้องต้นก็จะสามารถไถ่ถอนสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็น

ธรรมไม่ใช่เรา ที่สำคัญการคิดพิจารณาเรื่องธรรม แต่เราลืมเข้าใจความจริงของสภาพ

ธรรมที่มีในขณะนี้ครับ และก็เป็นเราที่พิจารณานั่นเอง ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 27 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สภาพธรรมที่เกิดดับ ย่อมไม่พ้นไปจากนามธรรม (จิต และ เจตสิก) และ รูปธรรม ทั้งนามธรรมและรูปธรรมดังกล่าวนั้น ล้วนไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืน (สังขารแม้อย่างหนึ่งที่ชื่อว่าเที่ยง ย่อมไม่มีเลย) จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันและ รู้อารมณ์อย่างเดียวกัน มีอายุที่สั้นมาก เพียงชั่วขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเท่านั้น ส่วนรูปธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เกิดขึ้นตามสมุฏฐานของตนๆ [ ได้แก่ กรรม จิต อุตุ และ อาหาร] แล้วก็ดับไป ซึ่งเมื่อเทียบกับนามธรรมแล้ว รูปธรรมเกิดดับช้ากว่านามธรรม [แต่ถึงอย่างนั้น ก็สั้นแสนสั้น และไม่ยั่งยืนเลยจริงๆ ] กล่าวคือ รูปรูปหนึ่ง เช่น สี เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ (ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม) ตา หู จมูก ลิ้น กาย หทยรูป ภาวรูป เป็นต้นมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เนื่องจากความจริงเป็นอย่างนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่เป็นวิปัสสนาที่สามารถเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ก็ตาม แต่การฟัง การศึกษาบ่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้มีความเข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ได้ว่า เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเป็นเพียงธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้นจริงๆ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jadesri
วันที่ 27 ก.ค. 2554

ขอบพระคุณมากครับ ที่กรุณาให้ความกระจ่างแก่ผม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ