เคยรู้สึกท้อแท้ไหม!
เคยไหมคะที่เราทำอะไรบางอย่างด้วยความหวังดี กลับโดนผู้อื่นมองว่าเราไม่ดี ก็รู้สึก
ท้อแท้ บ้าง แต่แล้วเราก็ทำใจได้และคิดในทางที่ดีและตั้งใจทำดีต่อไป นี่คือการสะสม
ความดี ในอดีตชาติหรือเปล่าค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริงการคิดนึก มีได้เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิตและเจตสิก
เป็นต้น จิตเป็นสภพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่รู้ และอีกความหมายหนึ่ง จิตเป็น
สภาพธรรมที่สะสม คือ สะสมทั้งฝ่ายที่ดี (กุศล) ละฝ่ายที่ไม่ดี (อกุศล) ดังนั้นขณะใดที่
จิตคิดเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างและจิตนั้นดับไป หรือ ความคิดนึกนั้นดับไป ก็สะสมสิ่ง
นั้น ความคิดแบบนั้นต่อไปในจิตดวงต่อๆ ไป ให้เป็นผู้มีความคิดแบบนั้นอีก มีนิสัยแบบ
นั้นอีกครับ ดังนั้นในชาติปัจจุบัน เป็นผู้มีความคิดแบบใด ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นั่นก็เท่า
กับว่าในอดีตก็เคยสะสมความคิดแบบนั้นมาก่อน จึงเกิดความคิดแบบนี้ในปัจจุบันเช่น
กันครับ เช่น คนที่มักโกรธในชาตินี้ อะไรโกรธ เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิตที่โกรธเกิดขึ้น
ความโกรธ อุปนิสัยมักโกรธจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่เคยสะสมความโกรธมาในอดีต คือ มี
ความโกรธเกิดขึ้น คือ มีจิตทีเป็นโทสะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในอดีต จนเป็นปัจจัยที่มีกำลังทำ
ให้มีความคิดที่จะโกรธง่าย เป็นคนนิสัยโกรธง่าย อันเกิดจากความโกรธที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ในอดีตนั่นเองครับ ดังนั้น ความคิดอย่างไรในปัจจุบันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น
ความคิดที่ดี หรือ ไม่ดี ก็ไม่พ้นจากการสะสมมาในอดีตทั้งหมดครับ
ดังนั้นจากคำถามที่ถามมา จากคำกล่าวที่ว่า
เคยไหมคะที่เราทำอะไรบางอย่างด้วยความหวังดี กลับโดนผู้อื่นมองว่าเราไม่ดี ก็รู้สึก
ท้อแท้ บ้าง แต่แล้วเราก็ทำใจได้และคิดในทางที่ดีและตั้งใจทำดีต่อไป นี่คือการสะสม
ความดี ในอดีตชาติหรือเปล่าค่ะ
------------------------------------------------------------------------
ความหวังดี เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ ความเมตตา ดังนั้นเพราะมีการสะสมความหวัง
ดีเอาไว้ในอดีต ในจิตดวงก่อนๆ ที่เคยมีเมตตา เคยมีความหวังดี ปัจจุบันก็สามารถ
เกิดความหวังดี เมตตากับบุคคลอื่นๆ สัตว์อื่นได้ครับ ดังนั้นความหวังดีที่เกิดขึ้นก็ไม่พ้น
จากการสะสสมมาในอดีตเช่นกัน ความรู้สึกท้อแท้ที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกไม่สบายใจ
ในขณะนั้น จึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นโทสะ ดังนั้นเพราะมีการสะสมในอดีตเช่นกัน ที่เคย
เกิดโทสะ เคยเกิดความท้อแท้ มาปัจจุบันเมื่อพบเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยให้เกิดความ
รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาอีกก็เกิดขึ้นได้เพราะเคยสะสม เคยเกิดความรู้สึกท้อแท้ที่เป็นโทสะ
ในอดีตเช่นกันครับ ไม่พ้นการสะสมมาในอดีตที่เป็นจิตที่เกิดขึ้นครับ จะเห็นว่าไม่ใช่
สะสมสิ่งที่ดีเท่านั้น แม้สิ่งที่ไม่ดีก็สะสมมาด้วยครับ
การคิดในทางที่ดี ที่จะทำดีต่อไป การคิดได้เช่นนี้ ถ้าไม่เคยคิดอย่างนี้มาในอดีต
หรือในอดีตชาติก็ได้ ก็จะไม่มีความคิดที่จะทำดีต่อไปเกิดขึ้นเลยครับ เพราะฉะนั้นแม้
การตั้งใจทำความดี ก็คือ เป็นการสะสมความคิดที่ดีในอดีตที่เคยคิดอย่างนี้มาก่อนนั่น
เองครับ ซึ่งความคิดที่ดีเช่นนี้ก็เกิดที่จิต เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่สะสม คือ จิตนั่นเอง
ก็แล้วแต่จะสะสมความคิดที่ดีและไม่ดี แต่ก็ต้องสะสมมาจนถึงปัจจุบันและอนาคต
ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลส ไม่เกิดอีก ก็สะสมทั้งความคิดที่ดีหรือไม่ดีต่อไปครับ
จากคำถามว่าเป็นการสะสมความดีในอดีตชาติหรือไม่ ความคิดที่ดี ที่เป็นกุศลที่จะทำดี
ก็เป็นการสะสมความดีในอดีตชาติ หรือ ในจิตดวงก่อนๆ ถูกต้องแล้วครับ
ความคิดที่ดีในพระพุทธศาสนาจึงมีหลายระดับครับ แต่ความคิดที่ดีจะเจริญขึ้นและถูก
ต้องขึ้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ก็จะทำเกิดจิตที่ดี ทีเป็นกุศลและ
คิดดีแค่นี้ยังไม่พอ หากให้มีการเจริญขึ้นของสิ่งที่ดี ประเสริฐ คือ ปัญญา เมื่อปัญญา
เจริญขึ้น ความคิดที่ดี กุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นเอง ดัง
เช่นที่ว่า สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบที่เป็นปัญญา) ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมาสังกัปปะ
(ความคิดชอบ) เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าก็จะทำให้เจริญปัญญา
และเกิดความคิดที่ดี สะสมสิ่งที่ดีต่อไป จนเป็นปัจจัยให้สละ ละคลายความคิดที่ไม่ดี
คือกิเลสทีละน้อยจนดับได้หมดนั่นเองครับ ขออนุโมทนาที่คิดดีที่จะทำความดีต่อไป
ครับ แต่ไม่ลืมที่จะฟังพระธรรมเพื่อสะสมความคิดดีครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ความดีจะให้ผล เมื่อใด...... เมื่อทำความดี แล้วไม่หวังผลความดี ไงล่ะ
การทำความดีที่ ประกอบด้วยปัญญา คือ ทำดีแบบปิดทองหลังพระ เมื่อไหร่ที่ทองล้น
ออกมาหน้าพระ ความดีนั้นจึงจะให้ผล (ตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว)
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม ไม่เป็นโทษแก่ใครๆ ทั้งสิ้น และกุศลธรรม ที่ควรจะเกิดง่าย โดยไม่ต้องรอคอยกาลเวลาเลยนั้น คือ เมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความปรารถนาดี ความหวังดีต่อผู้อื่น โดยเสมอทั่วกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง, ตามความเป็นจริงแล้วสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อกุศลจิต ก็ย่อมเกิดขึ้นมาก เกิดขึ้นมากกว่ากุศลจริงๆ ไม่ว่าจะประสบกับเหตุการณ์ใดๆ ก็มักจะหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศลประการต่างๆ ทั้งโลภะ บ้าง โทสะ บ้าง และในขณะที่โลภะ หรือ โทสะ เกิดขึ้น ก็จะมีโมหะ เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ยากที่จะพ้นไปได้ยากที่จะฟันฝ่าคลื่นของอกุศลไปได้จริงๆ [บุคคลผู้ที่ไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจของอกุศลใดๆ เลยนั้น คือ พระอรหันต์]
เมื่อเราได้กระทำในสิ่งที่ดีแล้ว ใครจะคิดอย่างไร สะสมมาที่จะเกิดอกุศลอย่างไร ก็เป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น ตามการสะสมของเขา ซึ่งบุคคลในลักษณะอย่างนี้ ไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ แต่มีแล้วทุกยุคทุกสมัย เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แต่สำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็ย่อมจะมีความจริงใจ ความตั้งใจที่จะเจริญกุศลสะสมความดีต่อไป เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม ไม่ใช่บุคคลอื่น และประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ความดีที่เราได้กระทำนั้น ก็ย่อมเป็นความดี ถึงใครจะบอกว่า ไม่ดี ก็ตาม ความดี ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นตามที่เขาว่า
แต่ละบุคคล เกิดมาแล้วก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ความตายไม่เคยเกรงใจใครเลยทั้งสิ้น ตายทุกคน แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ก่อนที่ความตายจะมาถึงควรทำอะไร?เวลาที่เหลืออยู่นี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะเป็นช่วงเวลาที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา และสะสมความดี ต่อไป ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ....
เป็นความคิดที่แยบคายทีถูกต้อง ที่เคยสะสมมาในอดีต และก็ต้องสะสมความเข้าใจ
ธรรมะให้มากขึ้น เพราะความเข้าใจธรรมะ คือปัญญาทีึ่ทำให้เราคิดดี ทำดี ฯลฯ ค่ะ