พระยืนบรรยายธรรมผิดหรือไม่ครับ
พระยืนบรรยายธรรมผิดหรือไม่ครับ อาบัติอะไรครับ เทียบได้กับสิกขาบทไหน เพราะผม
เห็นพระสมัยนี้ยืนบรรยายธรรมะกันมากเหลือเกิน แล้วก็จะออกแนวตลกมากๆ เพื่อเรียก
อาการขบขันจากผู้คนมากมาย ทำให้ผมคิดว่ามีตลกอีกคณะหนึ่งมาทำการแสดง และมี
พระอีกประเภทหนึ่งที่เทศน์ใส่ทำนองเหมือนกับแนวเพลงลุกทุ่งลุกกรุงขยับลุกคอซะยืด
ยาวเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกับสมัยก่อนมาก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระยืนบรรยายธรรม แสดงธรรมอยู่ หากผู้ฟังไม่ได้เจ็บป่วย นั่งฟังธรรม พระผู้แสดง
ธรรม ต้องอาบัติทุกกฎเพราะ อิริยาบถของผู้แสดงและผู้ฟังไม่เหมาะสม เพราะผู้ฟังอยู่
ในอิริยาบถที่สบายกว่า พระผู้แสดงธรรม ยืนแสดงกับคนที่นั่ง เท่ากับว่าไม่เคารพพระ
ธรรมของพระพุทธเจ้าครับ หากพระยืนแสดงธรรม ผู้ที่ฟัง ยืนฟังเหมือนกัน ไม่เป็นอาบัติ
ครับ เพราะอิริยาบถเสมอกัน แต่หากพระภิกษุนั่งแสดงธรรม ส่วนผู้ฟังนั่งฟังธรรม แต่ที่
นั่งของพระต่ำกว่าของผู้ฟัง พระผู้แสดงธรรม เป็นอาบัติทุกกฎ เพราะผู้แสดงธรรมนั่งต่ำ
กว่า แสดงธรรม เท่ากับว่าไม่เคารพพระธรรม เพราะพระธรรมเป็นของเลิศ ประเสริฐครับ
แต่ถ้าพระนั่งแสดงธรรม ผู้ฟังก็นั่งแต่ที่นั่งของผู้ฟังต่ำกว่า ไม่เป็นอาบัติในข้อนี้ และถ้า
พระภิกษุนั่งแสดงธรรม ผู้ฟังยืนฟังธรรมไม่เป็นอาบัติ เพราะอิริยาบถสมควร เพราะผู้
แสดงอยู่ในอิริยยาบถที่ดี สบายกว่านั่นเองครับ
ส่วนการแสดงธรรมแนวตลก ขำขันนั้น ในความเป็นจริงแล้ว พระธรรมของพระ
พุทธเจ้า แสดงสัจจะ ความจริงสิ่งที่เป็นสัจจะ ความจริงนั้น ผู้ที่แสดงก็ต้องเป็นผู้ที่
เคารพในสัจจะ ความจริงที่เป็นกุศลธรรม หรือเป็นสิ่งที่สามารถละกิเลสได้ การเคารพ
พระธรรม คือ การแสดงธรรมจึงเคารพพระธรรมด้วยการแสดงด้วยกุศลจิต ขณะที่พูดจา
ตลก ขำขัน แสดงสัจจะของพระพุทธเจ้า จิตขณะนั้นเป็นอกุศล อกุศลจะชื่อว่าเคารพ
พระธรรมไม่ได้เลย และไม่เคารพผู้ฟังด้วยเพราะเพิ่มอกุศลจิตให้ผู้ฟังนั่นเองครับ หากกล่าวอ้างว่าเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าถึงพระธรรมได้ง่าย และสนใจพระธรรม ในความ
เป็นจริง สัจจะความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงนั้นก็เป็นสิ่งที่จะเข้าไปถึงใจของ
สตว์โลกที่สะสมศรัทธาและปัญญามาอยู่แล้ว แต่พระธรรมของพระองค์จะไม่เข้าไปถึง
ใจของบุคคลที่ไม่ได้สะสมปัญญาและศรัทธามาในพระพุทธศาสนาเลย แต่ตรงกันข้าม
เรื่องขำขัน ตลก เรื่องที่เป็นไปในที่เพิ่มอกุศลย่อมเข้าไปถึงใจของบุคคลที่ไม่ได้สะสม
ปัญญา ศรัทธามา เพราะสะสมกิเลสมามาก จึงไหลไปกับเรื่องที่ทำให้กิเลสเจริญได้ง่าย
ดังนั้นพระธรรมของพระองค์เป็นสัจจะความจริงนั้นเอง เป็นสิ่งที่จะทำให้เข้าไปถึงใจ ให้
มีศรัทธา ให้เพิ่มกุศล ให้เพิ่มปัญญาของบุคคลที่สะสสมาอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้อกุศล
เพื่อเข้าถึงกุศลเลยครับ
ดังนั้นแทนที่จะเพิ่มอกุศล ก็แสดงสิ่งที่เป็นสัจจะ ความจริงด้วยความเคารพในพระ
ธรรม ผู้ใดสะสมปัญญามาก็เข้าใจ ผู้ที่ไมได้สะสมปัญญามาก็ไม่สนใจ พระธรรมจึงไม่ใช่
ให้ผู้คนมากๆ นับถือด้วยอกุศล เพราะผู้ที่ไม่สะสมปัญญามาจะไม่นับถือ สนใจในสัจจะ
ความจริงเลย จึงควรเข้าใจถึงความไม่สาธารณะของความเห็นถูกครับ
การแสดงธรรมด้วยความตลก ขบขันจึงไม่สมควรอย่างยิ่งไม่ว่าใคร บุคคลใด ยิ่งเป็น
เพศพระภิกษุ ย่อมเป็นผู้ที่จะขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง แม้การเคารพในพระธรรม ด้วยการ
แสดงธรรมด้วยกุศลจิตครับ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นความจริง ผู้แสดงก็ควรที่จะแสดงแต่ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง โดยไม่มีการหาวิธีการที่จะให้ผู้ฟังชอบ หรือสนใจในคำบรรยายซึ่งเป็นการดึงดึดผู้ฟัง หรือ หวังลาภสักการะ ชื่อเสียง อยู่ลึกๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า พระธรรมกถึกรูปใด แสดงธรรมด้วยหวังว่าเราจักได้ลาภหรือสักการะ เพราะอาศัยธรรมเทศนานี้ เทศนาของพระธรรมกถึกรูปนั้น ชื่อว่า ไม่บริสุทธิ์ ครับ
ส่วนการที่พระร้องเพลงก็เป็นอาบัติเช่นกันครับ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกับพระภิกษุ แม้แต่
การสวดเือื้อนเป็นทำนองก็เป็นอาบัติทุกกฎแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการร้องเพลงเลยครับ
เพราะพระภิกษุเป็นเพศที่ต่างกับคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิงครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ เช่น ท่านพระอุทายีได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงธรรม
แก่อุบาสิกาคนหนึ่ง อบุาสิกา ใส่รองเท้า นั่งอยู่ที่สูง มีผ้าคลุมศรึีษะ ท่านก็
บอกว่าเวลาจะมีน้องหญิง คือ ขณะนั้นไม่ใช่เวลาสมควร เพราะว่าตามพระวินัย
พระภิกษุจะไม่แสดงธรรมแก่ผู้ที่นั่งบนอาสนะที่กว่า จนกว่าจะทำให้ถูกต้องจึงจะ
แสดงธรรมค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมครับ
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยครับว่า หากพระภิกษุท่านไม่ศึกษาพระวินัยโดยถี่ถ้วนแล้ว การกระทำใดๆ ย่อมเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง แม้จะกล่าวอ้างถึงความประสงค์ดีเพื่อเผยแพร่พระศาสนาก็ตาม แต่เมื่อท่านมิได้เป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมวินัยโดยรอบคอบแล้ว พฤติการณ์ก็จะกลับกลายเป็นทำลายพระศาสนาไปโดยไม่รู้ตัวเลย
ดังเช่นที่อาจารย์ผเดิมชี้ให้เห็นชัดว่า การนำอกุศลมาใช้เพื่อให้เข้าถึงกุศล โดยเล่าเรื่องตลกขับขันซึ่งเป็นโลภะเพื่อให้สนใจธรรมะ ก็เปรียบได้เช่นเดียวกับ การหวังได้ไปสวรรค์นิพพานซึ่งเป็นโลภะเช่นกันจึงไปทำบุญ
แต่สิ่งที่ได้คือความไม่เข้าใจพระธรรมที่แท้จริงเลย โลภะย่อมพาไปติดอยู่กับความสนุกสนาน ตลกโปกฮา หรือความหวังที่จะได้คลายความทุกข์ง่ายๆ หากดูผิวเผินย่อมอาจคิดไปได้ว่า ส่ิงเหล่านี้นำพาให้คนทำบุญทำกุศลหรือรู้จักธรรมะได้บ้างเล็กน้อยก็ยังดี เผื่อในอนาคตคนอาจจะสนใจมาศึกษาพระธรรมมากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้วจะกลับทำให้คนส่วนใหญ่ที่ยังขาดความเข้าใจเชื่อไปได้ว่า พระธรรมของพระพุทธองค์ ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องราวพื้นๆ ที่เกี่ยวกับการทำความดี ที่สามารถนำมาประยุกต์กับเรื่องตลกให้น่าสนใจ น่าติดตาม เท่านั้น หรือไม่ก็กลายเป็นเทคนิคการคลายความทุกข์ใจ ซึ่งวิชาจิตวิทยาทั่วๆ ไปก็มีสอนกันอยู่
แต่คนจะไม่ทราบเลยว่าพระธรรมของพระพุทธองค์มีความลึกเพียงใดเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจที่จะเรียกได้ว่าเป็นการจรรโลงพระศาสนาเลย ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้คนห่างเหินจากพระธรรมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สนใจที่จะรู้ความเป็นจริง เพราะว่าไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าตัวไม่รู้ ดังนั้น การที่จะนำพระธรรมมาแสดงหรือเผยแพร่มิใช่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็จะทำกันง่ายๆ หากตนเองไม่เข้าใจพระธรรมจริงๆ แล้ว ย่อมนำเอาความรู้สึกนึกคิดของตนเองมาผสมผสานกลายเป็นอย่างอื่น แต่เรียกชื่อว่าพระธรรม เป็นสัทธรรมปฏิรูป ทำให้คนเข้าใจผิดไปได้มากมาย เป็นอันตรายต่อทั้งคนทั่วไปและผู้เผยแพร่เองจริงๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยิ่งจะต้องเป็นผู้ที่สำรวมระวังในสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้เกี่ยวกับการแสดงธรรม มีอยู่หลายข้อด้วยกัน ว่า อย่างไหนสมควร อย่างไหน ไม่สมควร (ดังความคิดเห็นที่ ๑ ได้อธิบายแล้ว) อันเป็นพระบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจ ไม่มีความเคารพในพระวินัยแล้ว โอกาสที่จะเป็นอาบัติก็ย่อมจะมีมาก ซึ่งเป็นอันตรายมากในเพศของบรรพชิต ----------------------------------------------- พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกวัน ทุกขณะ เพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษภัยของอกุศลธรรม และเห็นถึงภัยของสังสารวัฏฏ์
ซึ่ง ตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวง ได้โดยเด็ดขาด สังสารวัฏฏ์ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พุทธบริษัทก็จะไม่เห็นโทษภัยของอกุศลธรรมและภัยของสังสารวัฏฏ์
แล้วก็จะไม่มีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่เพราะพระผู้มีพระภาคทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรม เพื่อปลดเปลื้องหมู่สัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ โดยที่พระองค์ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย จากการแสดงธรรมของพระองค์ ผู้ที่มีศรัทธาที่จะฟัง ย่อมได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟัง (ซึ่งมีเป็นจำนวนมากทีเดียว) ก็ไม่ได้รับประโยชน์ จุดประสงค์การแสดงธรรม นั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะสรรเสริญ เป็นต้น แต่สำคัญอยู่ที่ประโยชน์อันผู้ฟังจะได้รับ คือ มีความเข้าใจถูก เห็นถูก มีความมั่นคงในกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
ดังนั้น ในการแสดงธรรม ควรอย่างยิ่งที่ผู้แสดงจะดำเนินตามแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้า และ พระอริยสงฆ์สาวก ทั้งหลาย ได้ดำเนินแล้ว ด้วยการแสดงธรรมไปตามความเป็นจริงครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...