กรรมที่ทำให้เป็นอริยสงฆ์รูปแรกและพระอรหันต์รูปสุดท้าย

 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่  1 ส.ค. 2554
หมายเลข  18842
อ่าน  12,348

เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระโกณฑัญญะที่บรรลุเป็นพระอริสงฆ์รูปแรกและเรื่องของสุภัทปริพาชกที่บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปสุดท้าย เนื่องจากได้ตั้งความปรารถนาหรือทำกรรมอะไรสักอย่าง จึงขอทราบรายละเอียดด้วยครับ / อนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นผู้ที่บรรลุธรรมเป็นคนแรก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ส่วน ท่านพระสุภัททปริพาชาก ท่านเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย ที่ตรัสรู้ด้วยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปัจฉิมสาวก ซึ่งการจะบรรลุธรรมของสัตว์โลก ก็จะต้องมีมูลคือเหตุคือการทำบุญไว้ในปางก่อนกับพระพุทธเจ้าในอดึต แม้ท่านทั้งสองก็ทำเหตุ คือ ทำบุญไว้ในปางก่อนกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ดังนี้

บุรพกรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะ

พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แต่กัลป์นี้ไปอีก ๙๑ กัลป์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก. ในกาลนั้น กุฎุมพี ๒ พี่น้อง คือ มหากาล (พระสุภัททะ) จุลกาล (พระอัญญาโกณฑัญญะ) ให้หว่านนาข้าวสาลีไว้มาก. ต่อมาวันหนึ่ง จุลกาลไปนาข้าวสาลี ฉีกข้าวสาลีกำลังท้องต้นหนึ่งแล้วชิมดู. ได้มีรสอร่อยมาก. เขาปรารถนาจะถวายสาลีคัพภทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงเข้าไปหาพี่ชายแล้วพูดว่า "พี่ ฉันจะฉีกข้าวกำลังท้อง ต้มให้เป็นของควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ถวายทาน." พี่ชายกล่าวว่า "เจ้าพูดอะไร? อันการฉีกข้าวสาลีกำลังท้องทำทานไม่เคยมีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต, เจ้าอย่าทำข้าวกล้าให้เสียหายเลย." เขาอ้อนวอนแล้วๆ เล่าๆ . ครั้งนั้นพี่ชายจึงพูดกะเขาว่า"ถ้ากระนั้น เจ้าต้องปันนาเป็น ๒ ส่วน อย่าแตะต้องส่วนของเรา จงทำส่วนที่เจ้าปรารถนาในนาอันเป็นส่วนของตน." เขารับว่า "ดีแล้ว"แบ่งนากันแล้ว ได้ขอแรงมือกะมนุษย์เป็นอันมากฉีกข้าวสาลีท้อง ให้เคี่ยวเป็นน้ำนมจนข้นปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ในกาลเสร็จภัตกิจกราบทูลว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 1 ส.ค. 2554

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานอันเลิศของข้าพระองค์นี้ จงเป็นไปเพื่อความแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อนกว่าสาวกทั้งปวง. พระศาสดาตรัสว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วได้ทรงทำอนุโมทนา. เขาไปนาตรวจดูอยู่เห็นนาแน่นหนาด้วยรวงข้าวสาลี เหมือนเขามัดไว้เป็นช่อๆ ในนาทั้งสิ้นได้ปีติ ๕ อย่างแล้ว คิดว่า "เป็นลาภของเราหนอ" ถึงหน้าข้าวเม่าได้ถวายทานเลิศด้วยข้าวเม่า, ได้ถวายทานอันเนื่องด้วยข้าวกล้าอย่างเลิศพร้อมกับชาวบ้านทั้งหลาย, หน้าเกี่ยวได้ถวายทานอันเลิศในการเกี่ยว, คราวทำขะเน็ด ได้ถวายทานอันเลิศในการขะเน็ด ในคราวมัดฟ่อนเป็นต้น ก็ได้ถวายทานอันเลิศในการมัดฟ่อน อันเลิศในลอม...อันเลิศในฉาง . . . ได้ถวายทานอันเลิศรวม ๙ ครั้ง ในหน้าข้าวคราวหนึ่ง

อัญญาโกณฑัญญะ ปรารถนาเพื่อแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อน [เขา] จึงได้ถวายทานอันเลิศ ๙ ครั้ง ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้พระนามว่าวิปัสสี ด้วยประการอย่างนี้แล.

บุรพกรรมของสุภัททะ

ได้ยินว่า ในอดีตกาล สุภัททปริพชกนั้น เมื่อน้องชายให้ทานอันเลิศถึง ๙ ครั้ง ในเพราะข้าวกล้าครั้งหนึ่ง, ไม่ปรารถนาเพื่อจะให้ ท้อถอยแล้ว ได้ให้ในกาลเป็นที่สุด.

ดังนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นน้องชายชื่อจุลกาล ทำบุญถวายทาน 9 ครั้ง ปรารถนาการบรรลุก่อนผู้อื่น ส่วนท่านพระสุภัททะ เป็นพี่ชาย ชื่อมหากาล ทำบุญตอนสุดท้าย คือ เมื่อข้าวกล้าสมบูรณ์ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย ที่ได้รับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 1 ส.ค. 2554

ผู้ทีได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เลิศในด้านต่างๆ ผู้นั้นตัองสะสมบุญบารมี และต้องได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าและสาวก เช่น ถวายอาหาร ฯลฯ แล้วตั้งความปรารถนาจึงจะำสำเร็จ ซึงสำเร็จด้วยกุศล ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วท่านจะได้บรรลุ เหตุต้องสมควรแก่ผลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 1 ส.ค. 2554
ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 1 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การรู้แจ้งอริสัจจธรรมถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบัน จนกระทั่งถึงพระอรหันต์ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นผลของการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางที่ทำให้ถึงซึ่งฝั่งของพระนิพพาน ซึ่งเป็นฝั่งที่เกษม ปลอดภัยจากกิเลสและปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง และกว่าที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ต้องอาศัยการสะสมบารมีซึ่งเป็นความดีประการต่างๆ ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพระอริยบุคคลท่านใดก็ตาม [จะมองเฉพาะชาติที่บรรลุ ไม่ได้ ต้องย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ท่านได้สะสมบารมี สะสมการฟังพระธรรมในชาติก่อนๆ ด้วย] ซึ่งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมในยุคนี้สมัยนี้ ที่จะมีความตั้งใจ มีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะอบรมเจริญปัญญา โดยมีพระอริยบุคคลเหล่านั้น เป็นแบบอย่างทีดี โดยที่มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรมได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นเรื่องที่ไกลมาก ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นได้ก็ต้องมีวันนี้ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 1 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 2 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
michii
วันที่ 3 ส.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ