ทำไมต้องมีคำว่านอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

 
แสงจันทร์
วันที่  6 ส.ค. 2554
หมายเลข  18876
อ่าน  9,711

เมื่อก่อนผมเคยฟังพระสวดมนต์แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง นึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมจะต้องมีคำว่าพระองค์นั้น จนเพื่อนผมบางคนพูดเล่นว่าพระองค์นั้นน่ะพระองค์ไหน มาวันหนึ่งผมลองฝึกนึกถึงพระพุทธคุณดูช่วงเวลาตื่นนอน โดยคิดว่าเมื่อก่อนเราติดบุหรี่มา ๑๒ปี สิ่งแรกที่เรานึกถึงตอนตื่นนอนคือบุหรี่ (ปัจจบันเลิกมา ๓ ปีแล้ว) เราน่าจะลองมาฝึกเจริญพุทธคุณตอนตื่นนอนดีคือรู้สึกตัวตื่นก็เจริญพุทธคุณเลยบนที่นอน โดยนึกขึ้นว่านโมพุทธธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แรกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สักพักมันนึกสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีดียังไงดีจริงหรือเปล่า มีจริงมั๊ย ขณะนั้นรู้สึกกลัวว่าตัวเองทำไมคิดอย่างนี้ เราต้องรีบแก้ไขแล้วล่ะ จึงนึกขึ้นมาว่าผู้ใดมีใจอันเป็นมหากรุณาทรงบำเพ็ญบารมีมาอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมที่ดับทุกข์เองโดยชอบแล้วยังสามารถสั่งสอนสัตว์ให้พ้นทุกข์ตามได้ด้วย เป็นผู้ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เลยผู้นั้นแหละคือพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เท่านั้นแหละครับ นึกถึงพระคุณท่านผู้ที่แต่งแล้วใส่วิเสสนะคำว่าพระองค์นั้นขึ้นมา ท่านช่วยให้คนรู้น้อยอย่างผมนึกถึงพระพุทธคุณได้ลึกซึ้ง ได้กว้างไกลและให้หนักแน่นโดยมีคำว่าพระองค์นั้นขึ้นมา ขนาดปัญญาท่านผู้แต่งยังขนาดนี้ แล้วปัญญาของพระพุทธองค์จะขนาดไหน (อันนี้ผมอาจฟุ้งซ่านขึ้นเองก็ได้นะครับ) แต่ผมมาคิดที่หลังว่าเราไม่ทันล้างหน้าล้างตาแต่งตัวให้เรียบร้อยไม่ทันลุกขึ้นจากที่นอนด้วยซ้ำแล้วไหว้ และทำอย่างนี้จะสมควรหรือเปล่า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คำว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นคำที่พระอริยสาวกในสมัยพุทธกาลกล่าว ไม่ใช่แต่งขึ้นมาในสมัยหลัง การกล่าวนอบน้อมบุคคลที่เลิศประเสริฐที่สุดในจักรวาล โดยใช้คำว่า ภควา คือ พระผู้มีพระภาคอันเป็นคำที่ใช้กล่าวกับบุคคลที่เลิศที่สุด จึงใช้คำว่า ภควา

การใช้คำว่า พระองค์นั้น (ตัสสะ) ก็อาจจะเป็นที่สงสัยว่า พระองค์ไหน ซึ่งจากการที่มีประชุมทางวิชาการของมูลนิธิฯ และได้ค้นตรวจสอบในพระไตรปิฎก ทั้งหมดนั้นคำว่า ตัสสะ คือ พระองค์นั้นไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เพราะในความเป็นจริง เราไม่ได้ขอนอบน้อมกับพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น ผู้ใดมีพระคุณเสมอพระพุทธเจ้า ซึ่งก็มีพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและอนาคตเราก็ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระองค์นั้นใดที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์นั้นใดที่ตรัสรู้ดับกิเลสหมดด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้นใดที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ พระองค์นั้นใดที่เสด็จไปดีแล้ว คือ เสด็จไปที่ที่ดีคือพระนิพพาน เสด็จไปในทางอันดี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ พระองค์นั้นใดที่ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด ทั้งสังขารโลกที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป โลกคือ สัตว์โลก คือ หมู่สัตว์ และ โอกาสโลก คือที่อยู่ของหมู่สัตว์ พระองค์นั้นใดที่ทรงฝึกหมู่สัตว์ด้วยปัญญาของพระองค์ ไม่ต้องใช้ศาสตราอาวุธ แต่ด้วยการสั่งสอนพระธรรมของพระองค์ จึงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า พระองค์นั้นใด ที่เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์นั้นใดที่เป็นผู้ตื่นแล้ว ตื่นด้วยปัญญา ไม่ต้องหลับเพราะกิเลสครับ พระองค์นั้นใดที่เป็นผู้จำแนกธรรม จำแนกพระธรรมตามความเป็นจริง

ดังนั้น พระคุณตามที่กล่าวมา จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น จึงใช้คำว่าพระองค์นั้น หมายถึง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่มีพระคุณตามความเป็นจริงเสมอกันหมดครับ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น (ทุกพระองค์ครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ส่วนการจะเจริญพุทธานุสสติได้ ก็ต้องเข้าใจความจริง คือ เข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้าถูกต้อง เมื่อเข้าใจพระธรรม ก็สามารถระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริงได้ครับ เพราะถ้าไม่ศึกษาพระธรรม หรือ ศึกษาผิดก็จะทำให้เข้าใจพระคุณของพระพุทธเจ้าที่ผิดตามไปด้วยครับ ดังนั้นการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง ก็ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมจนเข้าใจนั่นเองครับ เพราะปัญญาเท่านั้นที่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคตครับ

ส่วนการคิดสงสัยในพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมดาของปุถุชน เพราะยังไมได้ประจักษ์ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับตัวเองตามที่พระองค์แสดงไว้ทั้งหมด จึงยังมีความลังเลสงสัยที่เป็นวิจิกิจฉา ที่ยังไม่ได้ดับ เกิดขึ้นได้ครับ แต่ผู้ที่จะมั่นคงในพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยอีกเลย คือ พระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้นครับ เพราะท่านประจักษ์ความจริง มีพระนิพพาน เป็นต้น ตามที่พระองค์ทรงแสดงแล้วครับ

ส่วนจากคำถามที่ว่า

แต่ผมมาคิดที่หลังว่าเราไม่ทันล้างหน้าล้างตาแต่งตัวให้เรียบร้อยไม่ทันลุกขึ้นจากที่นอนด้วยซ้ำแล้วไหว้และทำอย่างนี้จะสมควรหรือเปล่า

ส่วนการระลึก นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นอนัตตา ซึ่งพระองค์แสดงกับพระมหานามะว่า พระองค์เสด็จดำเนินเจริญก็ได้ (พุทธานุสสติ) แม้นอน บรรทมอยู่ เจริญพุทธานุสสติก็ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ก็เกิดได้ในขณะนั้นครับ ดังนั้นการระลึกถึง นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยการคิดนึกไม่ใช่การไหว้ระลึก นึกถึงโดยอิริยาบถใดก็ได้ครับ แต่ถ้าจะไหว้ ควรอยู่ในอิริยาบถที่สมควรครับ ไม่ควรนอนไหว้ครับ

ขออนุโมทนา

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ 538

ดูก่อนมหาบพิตร ในธรรม ๖ประการนี้ พึงทรงระลึกถึงพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นฯ ลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูก่อนมหาบพิตร สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงพระตถาคต สมัยนั้น จิต ของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะ กลุ้มรุม สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมดำเนินไปตรง ดูก่อนมหาบพิตร อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระตถาคต ย่อมได้ความรู้อรรถย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม ปีติย่อมเกิดแก่อริยสาวกผู้มีความปราโมทย์ กายของอริยสาวกผู้มีใจประกอบด้วยปีติย่อมสงบ อริยสาวกผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวยสุข จิตของอริยสาวกผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น ดูก่อนมหาบพิตร มหาบพิตรพึงเสด็จดำเนินเจริญก็ได้พึงประทับยืนเจริญก็ได้ พึงประทับนั่งเจริญก็ได้ พึงบรรทมเจริญก็ได้ พึงทรงประกอบการงานเจริญก็ได้ พึงประทับบนที่นอนอันเบียดเสียดด้วยพระโอรสและพระธิดาเจริญก็ได้ ซึ่งพุทธานุสสตินี้แล

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แสงจันทร์
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบทำให้ผมกระจ่างมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การนอมน้อมเคารพบูชาบุคคลผู้ควรบูชาอย่างสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นมงคลอันประเสริฐ ซึ่งในขณะที่นอบน้อมเคารพบูชานั้น เป็นสภาพจิตที่ดีงาม เป็นกุศลจิตควรอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ล้วนทรงเป็นผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส ทรงตรัสรู้โดยชอบได้โดยพระองค์เอง พร้อมทั้งทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์โลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงมีการฟัง มีการศึกษา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อศึกษาเข้าใจความจริงแล้ว ย่อมจะมีความซาบซึ้งมากขึ้นในพระคุณของพระพุทธองค์ ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ ตามปัญญาของตนเอง ผู้ที่ขาดการฟัง ขาดการศึกษา ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ดังนั้น ผู้ที่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ต้องฟังพระธรรมและพิจารณาพระธรรมด้วย ยิ่งฟังพระธรรม ก็ยิ่งเห็นพระคุณของพระองค์ เพราะทรงแสดงธรรมที่เป็นสัจจธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ซึ่งทำให้ผู้มีโอกาสฟัง มีโอกาสศึกษาสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ จากที่เคยเป็นผู้มากไปด้วยอกุศล มากไปด้วยความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ไปตามลำดับ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 6 ส.ค. 2554

พระคุณของพระพุทธเจ้า ปุถุชนสรรเสริญ ก็เปรียบเหมือนรูของเข็มที่ลอดน้ำในมหาสมุทร พระคุณของพระพุทธเจ้ามีมากว่านั้นอีกค่ะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ไม่จำกัดกาลเวลา และสถานที่ ที่สำคัญกุศลจิตเกิดบ่อยๆ ดีกว่าวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยอกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แสงจันทร์
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ในหนังสือสัมภารวิบาก "กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าไว้ถึง ๒๐ อสงไขย

เริ่มตั้งแต่คิดไว้ในใจอย่างเดียว ไม่ออกพระวาจา ๗ อสงไขย

กำหนดแต่ออกพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิอีก ๙ อสงไขย

กำหนดแต่พระองค์จึงปรารถนาพร้อมด้วยกายวาจาและใจก็นานนับได้ถึง ๔ อสงไขยเศษอีกแสนกัปเพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมมาสั่งสอนสัตว์ ให้สัตว์ทั้งหลายึงความระงับเสียซึ่งทุกข์ในสังสารวัฏฏ์

ติณฺโณ ตาเรยฺยํ

มุตฺโต โมเจยฺยํ

พุทฺโธ โพเธยฺยํ

เราข้ามได้แล้วจะให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย

เราพ้นแล้วจะให้ผู้อื่นพ้นด้วย

เราตรัสรู้แล้วจะให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย

(ปรมตถทีปณี จริยาปิฎกวณณนา มหาจุฬา ๓๒๙)

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แสงจันทร์
วันที่ 6 ส.ค. 2554

การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้านั้นมีอานิสงส์มาก เช่น มัฏฐกุณฑลี ไม่เคยทำบุญเลย แต่แค่ทำจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็ยังได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร

ฉะนั้นจึงควรฝึกจิตให้เสพคุ้นในพุทธคุณบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ศรัทธาเสื่อมถอย เช่น เหมวตยักษ์ และอาฬวกยักษ์จะเดินทางไปไหน ก็ยังทำระลึกนึกถึงพุทธคุณเสมอ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 7 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
หลานตาจอน
วันที่ 7 ส.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
แก้วนพคุณ
วันที่ 25 ม.ค. 2555

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาครับ

ซาบซึ้งเป็นที่สุดของพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
danai2523
วันที่ 5 ก.ย. 2557

สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ