เรียนถามครับผม เราอยู่บนโลกนี้คนเดียว จริง ๆ หรือครับ
จากการศึกษาผมเข้าใจว่าไม่มีเราจริงๆ เพราะบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเรา
อยู่บนโลกนี้คนเดียว จริงๆ หรือครับ หรือทำนองเดียวกับไม่มีเราครับ มีแต่เพียงสภาพ
ธรรมคือจิต เจตสิก รูปครับ ด้วยความเคารพครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มีแต่สภาพธรรมทีเป็น
นามธรรมและรูปธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ดังนั้นที่บัญญัติ สมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้
ก็เพราะมี จิต เจตสิก รูปทีเกิดขึ้นประชุมรวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นใคร เป็นมนุษย์ เป็น
เทวดา เป็นคนที่ชื่อนั้น ชื่อนี้ครับ ดังนั้นจึงไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์บุคคลมีแต่สภาพ
ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดับไปครับ
ซึ่งจากที่ผู้ถาม ถามว่า เราอยู่บนโลกนี้คนเดียวจริงๆ หรือ ก็ต้องเข้าใจคำนี้ครับว่า
กำลังสื่อถึงอะไร ขณะนี้ในความคิดของเราคือ มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีคนที่รู้จัก มีผู้คนใน
ประเทศไทย มีผู้คนในโลก มีสัตว์ต่างๆ มากมาย ที่เรารู้ว่ามีคนมีสัตว์มากมายเพราอะไร
ครับ เพราะมีจิตที่คิด ถ้าไม่มีจิตที่คิดก็จะไม่มีคน ไม่มีสัตว์มากมาย ดังนั้น เราจึงอยู่
คนเดียวในโลกของความคิด นี่คือ ความหมายครับ อยู่คนเดียวในโลกของความ
คิดของตนเอง ที่คิดว่ามีคนมากมาย ในโลกนี้ หากไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการ
คิดนึก ไม่มีจิตก็จะไม่มีอะไรเลย ดังนั้นอยู่ในโลกของความคิดของตนเองคนเดียวจริงๆ
มีเงินเมื่อไหร่ครับ เมื่อคิด ขณะหลับเงินอยู่ไหน มีเพราะคิดทั้งนั้น อยู่ในโลกความคิด
ของตนเองคนเดียวจริงๆ ตอนนี้กำลังอ่านที่ผมเขียน ขณะที่กำลังอ่าน มีเพื่อนไหมครับ
มีคนที่รู้จักไหมครับ ขณะที่กำลังอ่านเพราะกำลังอ่าน กำลังเห็นและคิดในสิ่งที่เห็น แต่
ไม่ได้คิดถึงใคร ขณะที่กำลังอ่านก็ไม่มีใครอีกเช่นกันครับ จึงอยู่ในโลกของความคิดนึก
คนเดียวครับ นี่คือคำอุปมาเพื่อเปรียบเทียบว่าอยู่คนเดียวในโลกของความคิด แต่หาก
ลึกละเอียดลงไปอีกครับ ตัวเราก็ไม่มี เราก็ไม่มีในโลกใบนี้ เพราะสำคัญผิดว่ามีเรา
แต่ความจริงก็มีแต่ธรรมทีเป็น จิตที่คิด จิตไม่ใช่เราเป็นธรรมครับ ดังนั้น เราอยู่บนโลก
นี้คนเดียว คือ อยู่ในโลกของความคิดของตนเอง เป็นการเปรียบเทียบให้เข้าใจใน
เรื่องอยู่ในความคิดนึกว่ามีคนอื่นๆ มากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีเราจริงๆ ครับ ดัง
นั้นก็ต้องเข้าใจว่า คำนั้นกำลังสื่อถึงอะไรนั่นเองครับ
เราก็ไม่มี คนอื่นก็ไม่มี มีแต่ธรรมทีเกิดขึ้นและดับไป เข้าใจยากเพราะเป็นเรื่องของ
ปัญญา แต่สามารถอบรมได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปทีละน้อยครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
คำบรรยายจากท่านอ.สุจินต์ วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2550
จริงๆ นะคะ เราเกิดมาในโลกคนเดียวหรือเปล่า เวลาเราเห็น เราเห็นคนเดียวหรือเปล่า
จิตหนึ่งขณะค่ะ ไม่เป็นของใครเลย แต่หลังจากเกิดแล้วมีเห็น จำ จำได้ว่าเป็นคน เป็น
หลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดของตัวเอง หลังเห็น แล้วแต่ว่าเราจะคิดอะไรใช่ไหมคะ จะคิดถึงเพื่อน จะคิดถึงญาติจะคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่าขณะที่คิดเนี่ยค่ะ เหมือนมีหลายคน ทั้งโลก ทั้งประเทศ แต่ความจริงคือ หนึ่งขณะจิตที่คิด อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว คน หรือ สัตว์ไม่มี มีแต่ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ) เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น อย่างขณะนี้ทุกๆ ขณะของชีวิตเราในชาตินี้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จุติเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ นั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นนามธรรมกับรูปธรรม เกิดเพราะเหตุปัจจัย เท่านั้น ซึ่งแต่ละขณะมีขันธ์ ๕ ครบเลย ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย ชาติต่อไปก็จะต้องเป็นเหมือนกับชาตินี้ คือ เป็นเพียงขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย
แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ไม่ปะปนกัน ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น
เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม คือ ขันธ์ ๕ หรือ นามธรรม กับ รูปธรรม จึงมีการสมมติว่าเป็นวคนนั้น คนนี้ เป็นเรา เป็นเขา แท้ที่จริงแล้วมีแต่ธรรมเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธโวหารหรือคำพูดของชาวโลก ไม่ได้ปฏิเสธสมมติบัญญัติต่างๆ คำต่างๆ สามารถใช้ได้ กล่าวได้ เช่น เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก อย่างนี้ก็พูดได้ ใช้ได้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูก ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งที่แตกต่างกัน ไม่ปะปนกัน ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเกิดมาแล้ว อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นครอบครัว เป็นประเทศชาติ เป็นต้น
ก็กล่าวได้ว่า เราอยู่รวมกันหลายคน ไม่ได้อยู่คนเดียว ก็เข้าใจได้ แต่เมื่อย่อยลงไปแล้ว เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้นจริงๆ ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย หนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ดับการที่จะต้องมีการเกิดมาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ก็คือ การอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ เมื่อปัญญาคมกล้าขึ้น ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่ต้องมีการมาอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นสังคม ครอบครัว เป็นต้น อีกต่อไป เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
....จนกว่าปัญญาที่ประจักษ์สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น จึงจะรู้ได้ว่ามีสภาพนั้นปรากฏอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นเลย.....แม้แต่ตัวเรา
ที่กล่าวว่าอยู่คนเดียว หมายถึง แต่ละหนึ่งขณะจิตที่เกิดขึ้น ไม่ได้ยาวเป็นเรื่องราวที่มีคนอื่นๆ อยู่ด้วย เป็นเพียงจิตเกิดดับๆ แต่ละขณะเท่านั้นเอง
ซึ่งความสงสัยก็จะละคลายไปได้ ถ้าฟังพระธรรมและมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะถ้าไม่มีความติดข้อง..เช่นผู้ไม่มีกิเลส..จะรู้สึกว่าอยู่บนโลกนี้คนเดียว (ว้าเหว่ไหม) ขออนุโมทนาคะ
ขออนุญาตเรียนสอบถามครับว่า ท่านอาจารย์สุจินต์เคยกล่าวว่า
จิตเปรียบเสมือนนักมายากล สร้างภาพ สร้างเหตุการณ์ ต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน
การที่เราเข้าใจว่า ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้
เราถูกนักมายากลหลอกลวงหรือเปล่าครับ?
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
ใช่ครับ การที่เราสำคัญว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลมีสิ่งต่างๆ ก็คือถูกนักมายากลหลอก
เพราะในความเป็นจริงมีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไปอย่าง
รวดเร็วครับ นักมายากล ที่มีความชำนาญในการเล่น ก็สามารถทำด้วยความรวดเร็ว
จนเราจับไม่ทัน แท้ที่จริงก็เป็นนักมายากลที่หลอกเราให้เราเข้าใจผิดครับ จิตก็เหมือน
นักมายากล เพราะจิตเกิดดับรวดเร็ว จึงสำคัญว่ามีสัตว์ บุคคลตัวตน เพราะความรวด
เร็วของจิตที่เกิดดับ ทำให้เหมือนว่ามีสัตว์ บุคคลสิ่งต่างๆ ไม่ดับไปเลย เหมือนก้านธูป
ที่ติดไฟ เมื่อแกว่งก็เหมือนเป็นวงกลม นิ่งเพราะความรวดเร็วของการแกว่ง แม้การเกิดดับ
ของจิต ที่เกิดดับรวดเร็ว จึงเห็นว่าเที่ยง เห็นว่ามีสัตว์บุคคลจริงๆ ครับ ดังนั้น เมื่อเข้าใจ
ว่ามีคน มีสัตว์ มีคนต่างๆ ไม่ได้มีเราคนเดียวในโลก ก็ถูกหลอกโดยนักมายากล คือ จิตที่
เกิดดับรวดเร็วนั่นเองครับ สภาพธรรมแต่ละอย่าง เกิดดับปรากฏสืบต่อกันอย่างรวด
เร็วมาก จึงปรากฏเป็นโลกที่มีทั้งแสงสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พร้อมๆ กัน
ความจริงแล้วสภาพธรรมที่เป็นโลกแต่ละโลกนั้น จะปรากฏได้ทีละทางตามเหตุตาม
ปัจจัย แต่เมื่อเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จึงลวงให้เห็นเป็นคนสัตว์ได้ เหมือน
นักเล่นกลที่ชำนาญมาก สามารถทำมายากลให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ แต่สำหรับผู้ที่
รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดเห็นผิดในสภาพธรรมครับ
-----------------------------------------------------------------------------
[๒๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกล หรือลูกมือของนักเล่นกลแสดงมายากลที่สี่แยก บุรุษมีตาดี พึงเพ่งพินิจพิจารณาดูมายากลนั้น
โดยแยบคาย เมื่อเขาเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย มายากล ก็จะ
ปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า ไม่จริงเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความจริง (สาระ) ในมายากล จักมีได้อย่างไร ฉันใด. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต
ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ หรืออยู่ในที่ไกลที่ใกล้ ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล
ภิกษุเพ่งพินิจพิจารณาดูวิญญาณนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพ่งพินิจ
พิจารณาดูโดยแยบคาย วิญญาณก็จะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า
หาสาระมิได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
จะเบื่อหน่ายในรูปบ้าง ในเวทนาบ้าง ในสัญญาบ้าง ในสังขารทั้งหลาย
บ้าง ในวิญญาณบ้าง เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า เราหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า
ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.
ผมพอจะเข้าใจได้ครับว่าเป็นโลกแห่งการคิดนึก ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน จนกว่าสติ
จะระลึกรู้ลักษณะของธรรมนั้นๆ ทีละขณะๆ ว่าเป็นเพียงธรรมไม่ใช่ใครเลย ครับ
ขอบพระคุณครับและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
บัญญัติเป็นเงาของปรมัตถ์ สภาพธรรมขณะนี้เกิดดับไม่ได้ปรากฏเลย แต่การสื่บ
ต่อ ทำให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน จำเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นเรื่องราวมากมาย จะ
ไถ่ถอน ความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็ต้องฟังธรรมะ พิจารณาธรรม จนกว่า
สติและปัญญารู้ลักษณะแท้ๆ ของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นค่ะ
เรียน ท่านเจ้าของกระทู้และท่านวิทยากร ขอร่วมแสดงความเข้าใจค่ะ การยกเอา
ประโยค ข้อความบางส่วนจากคำสอนในพระพุทธศาสนามาอ่าน และสนทนานั้น เป็น
การสิกขาธัมมที่ไม่ถูกต้อง ที่ทรงเปรียบว่าเหมือนการจับงูที่หางอาจถูกทำอันตรายได้
ดังนั้นจึงต้องมีความเพียรไม่ระย่อ สม่ำเสมอ ไม่ประมาทในการสิกขาธัมมต่อเนื่องเพื่อ
เข้าใจ สภาพธัมมตามความเป็นจริง จนกว่าจะทำลายนาม รูปเป็นอริยะบุคคล เข้าใจ
เช่นนี้จะได้ไหมคะ