ผลกรรมแต่ชาติที่แล้ว
คนที่เกิดเป็นกะเทย ชาติที่แล้วไปทำอะไรมา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ดังนั้นเราจะต้องแยกคำว่ากะเทยในทางพระพุทธศาสนา กับ กะเทยที่ชาวโลกเข้าใจกันว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไรก่อน ก็จะทำให้เข้าใจถูกว่า กะเทยเกิดจากกรรมอะไรครับ
- กะเทยที่ชาวโลกสมมติเข้าใจกัน คือ บุคคลที่มีใจเป็นผู้หญิง แต่มีร่างกายเป็นผู้ชาย เท่ากับว่า ผู้นั้นมีรูปที่เรียกว่า ปุริสภาวรูป รูปที่แสดงลักษณะความเป็นชายอยู่ แต่จิตใจน้อมไปที่จะอยากเป็นผู้หญิง ส่วนกะเทยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หมายถึง สัตว์ที่ไม่มีเพศเลย คือ ไม่มีภาวรูปที่แสดงลักษณะความเป็นหญิงหรือชายครับ ซึ่งในภาษาธรรมเรียกว่าบัณเฑาะก์ ซึ่งก็คือกะเทยครับ เป็นบุคคลที่ไม่มีเพศเลย ไม่มีเพศชายและเพศหญิง นี่คือกะเทยที่ถูกต้อง เป็นสัจจะความจริงที่พระองค์ทรงแสดงครับ
ซึ่งพระธรรมได้แสดงว่า บุคคลที่เกิดมาไม่มีเพศเลย เป็นกะเทย เพราะทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรมไว้ ในพระไตรปิฎกแสดงว่าคือ การคบชู้ภรรยาผู้อื่น หรือผิดศีล ข้อ ๓ เพราะผลของกรรมนั้นทำให้ตกนรก และเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เศษของกรรมนั้น ก็ทำให้เกิดเป็นกะเทย สัตว์ที่ไม่มีเพศได้ครับ รวมทั้งทำให้เกิดเป็นหญิงด้วย ดังนั้นทุกอย่างจึงมีเหตุ การเป็นกะเทยจึงเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำมานั่นเองครับ มีการคบชู้ภรรยาผู้อื่นหรือผิดศีลข้อ ๓ ครับ
[เล่มที่ 64] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ - หน้าที่ 271
หม่อมฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทองในแคว้นมคธ ราชคฤห์ มหานคร กระหม่อมฉันได้คบหาสหายผู้ลามก ทำบาปกรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยาของชายอื่นเหมือนจะไม่ตาย กรรมนั้น ยังไม่ให้ผล เหมือนไฟอันเถ้าปกปิด กระหม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรมของตน กระหม่อมฉันได้ระลึกถึงทุกข์ที่ได้เสวยในนรกนั้น ไม่ได้ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอันมาก ให้สิ้นไปในนรกนั้นนานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขาตอนอยู่ในภิณณาคตนคร. ฯลฯ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น
เป็นที่น่าสงสัยสำหรับกะเทยที่ชาวโลกเข้าใจกันในปัจจุบัน คือ มีร่างกายเป็นชาย มีปุริสภาวรูปที่เป็นรูปที่แสดงลักษณะความเป็นชายแต่ใจเป็นผู้หญิง ซึ่งในความจริงไม่ใช่กะเทยนะครับ กะเทยต้องไม่มีเพศชายและหญิงเลย
ดังนั้น เราจะต้องแยกระหว่างจิตชาติต่างๆ คือ จิตที่เป็นผลของกรรม กับจิตที่ชาติ อกุศล หรือ กุศล ว่าไม่เหมือนกัน การเกิดเป็นกะเทย ไม่มีเพศเลย เป็นผลของกรรมที่ไม่ดีที่ได้ทำในอดีต ให้ผลทำให้ไม่มีเพศ แต่การเกิดเป็นผู้ชาย ที่มีปุริสภาวรูป แต่มีใจไปในทางผู้หญิง รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ความรู้สึกที่ชอบความเป็นผู้หญิงที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการสะสมมาในอดีตที่เป็นอกุศลที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ผลของกรรมครับ ซึ่งชาติก่อนๆ อาจเกิดเป็นผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ติดต่อกัน แต่เมื่อกลับมาเกิดเป็นผู้ชาย (ไม่ใช่กะเทยเพราะมีเพศ คือ มีปุริสภาวรูป) ใจที่เคยยินดีพอใจในความเป็นหญิงติดต่อกันมานับชาติไม่ถ้วน ก็ทำให้มีความยินดีชอบใจอยู่เพราะสภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมสิ่งที่ดีหรือไม่ดี สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ไม่หายไปไหนครับ เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้กายจะเป็นผู้ชาย แต่ใจที่เคยยินดีความเป็นผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้ครับ เพราะการเกิดเป็นผู้หญิงติดต่อกันมานั่นเองครับ อันนี้พูดถึงประเด็นกะเทย ที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน และก็มีความชอบผู้ชาย แม้ตัวเองจะเป็นผู้ชาย เพราะว่า เคยเกิดเป็นผู้หญิงมาก่อนในอดีตติดต่อกันนับชาติไม่ถ้วน ผู้หญิงก็ต้องชอบผู้ชายตามที่กล่าวมา จนมาถึงชาติปัจจุบันเกิดเป็นผู้ชาย แต่ความชอบลักษณะของความเป็นผู้ชาย ที่เคยชอบในอดีตไม่ได้หายไปไหน ก็เกิดขึ้นได้ แม้ร่างกายจะเป็นผู้ชาย เพราะความที่เกิดเป็นผู้หญิงในอดีตชาติติดต่อกันมาหลายๆ ชาติมากนั่นเองครับ
ดังเช่น ท่านพระปิลินทวัจฉะ ที่ท่านเคยเกิดเป็นพราหมณ์มาติดต่อกัน ๕๐๐ ชาติ และ พูดคำว่า คนถ่อยมา ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน แม้ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็มักพูดคำว่า คนถ่อย เช่นกันครับ เพราะการสะสมไม่ได้หายไปไหนนั่นเองครับ
และอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงการสะสมมาในอดีตชาติ ที่เคยเกิดติดต่อกัน พอมาถึงปัจจุบันก็ไม่ได้หายไปไหน คือ พราหมณ์ สามี ภรรยา พอเจอพระพุทธเจ้าก็กล่าวว่าลูกของเรามาแล้ว สำคัญว่าเป็นลูกของตน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็แสดงว่า พราหมณ์สามีภรรยา เคยเป็นบิดา มารดาของเราในอดีตชาติ ที่ติดต่อกัน ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้น มาชาตินี้เขาก็ยังจำเราได้ว่า เราเป็นลูกของพราหมณ์สามี ภรรยา ครับ
ในกรณีของกะเทยที่ในปัจจุบันเข้าใจกันที่มีร่างกายเป็นชาย แต่ใจเป็นหญิงก็โดยทำนองเดียวกันครับ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และก็สามารถอธิบาย กรณีของทอมได้เช่นกันที่มีใจชอบผู้หญิงและรักความเป็นชาย เพราะ เกิดเป็นผู้ชายมามากและติดต่อกัน เมื่อชาติปัจจุบันก็ยังยินดี พอใจในความเป็นชายแม้กายจะเป็นผู้หญิงและก็ชอบผู้หญิงครับ
พระธรรมจึงสามารถอธิบายในข้อสงสัยต่างๆ ได้ครับ
ดังนั้นการเกิดเป็นกะเทย กะเทยจริงๆ คือไม่มีเพศเลย และก็เป็นผลของกรรมที่เป็นเศษกรรมคือ คบชู้ภรรยาผู้อื่นหรือผิดศีล ข้อ ๓ ครับ ส่วนกะเทยและทอมในปัจจุบัน เกิดจากการสะสมอุปนิสัยของการเกิดเป็นหญิงและชายมามากในอดีตชาติมาติอต่อกัน ครับ จึงทำให้มีลักษณะความชอบและนิสัยตรงข้ามกับลักษณะร่างกายที่เกิดมา ดังนั้น กะเทยในความเข้าใจทางโลกจึงไม่ใช่กะเทยจริงๆ ครับ
ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในอกุศลเลย เพราะอกุศลกรรมเมื่อให้ผล มีแต่นำสิ่งที่ไม่ดี เผ็ดร้อน ดังในข้อความในพระไตรปิฎกที่ยกมาที่ทำกรรมล่วงศีลข้อ ๓ ต้องตกนรกเป็นอันมากและต้องมาเกิดเป็นลาถูกตอน เกิดเป็นกะเทยและได้รับวิบากที่ไม่ดีต่างๆ มากมายเพราะกรรมที่ไม่ดีที่ตนทำไว้ และ ข้อความในพระไตรปิฎกก็แสดงว่า การจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก เพราะฉะนั้น ควรเห็นโทษของอกุศลตามกำลังของปัญญา และไม่ลืมที่จะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะ วันข้างหน้าเราไม่รู้เลยว่าจะกลับไปเกิดเป็นอะไร เพราะ สัตว์โลกทำอกุศลมามากกว่ากุศลมากมายครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องกรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ซึ่งก็เป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด ทั้งกรรม และ ผลของกรรม
กรรม ได้แก่เจตนาที่จงใจขวนขวายกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดีบ้าง ไม่ดี บ้าง
ส่วนผลของกรรม จำแนกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ วิบากจิต (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) และ ส่วนที่เป็นรูป ได้แก่ รูปที่เกิดจากกรรม ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฎฎ์ ก็ไม่พ้นจากกรรม ตั้งแต่ขณะเกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ต้องเกิด และที่แต่ละบุคคลเกิดมาต่างกัน ก็เพราะกรรมต่างกันนั่นเอง กรรมนั้นมีทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม
อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น สามารถให้ผลได้เมื่อยังมีสังสารวัฎฎ์ คือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อกุศลกรรมให้ผลเป็นทุกข์ เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่อกุศลกรรมจะให้ผลเป็นสุข ส่วนกุศลกรรม ความดีประการต่างๆ นั้น นำมาซึ่งประโยชน์อย่างเดียว ให้ผลเป็นสุข ไม่นำมาซึ่งความทุกข์ความเสียหายใดๆ เลย เป็นประโยชน์ทั้งในขณะที่เกิดขึ้น และ ในขณะที่ให้ผล ทำให้ตนเองได้รับแต่สิ่งที่ดีน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เท่านั้น และ กรรม เป็นสภาพธรรมที่ยุติธรรมที่สุดในการให้ผล
ซึ่งเมื่อกล่าวโดยปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแล้ว ไม่มีผู้ทำอกุศลกรรม ไม่มีผู้ทำกุศลกรรม ไม่มีผู้รับผลของกรรม มีแต่นามธรรม รูปธรรม หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น ที่สมมติว่าตัวตนของเรา เป็นคนนั้นคนนี้กระทำกรรมและรับผลของกรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว มีแต่ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมจริงๆ
อีกประการหนึ่ง ที่ควรพิจารณา คือ ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวันของแต่ละบุคคลนั้น เป็นไปตามการสะสม มีทั้งส่วนที่ดี และ ไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย สิ่งใดที่เคยประพฤติมาก็สะสมสืบต่อในจิตเป็นอุปนิสัยต่อไปในภายหน้า ทำให้มีพฤติกรรมอย่างที่เคยได้เป็นมา ซึ่งเป็นธรรมดาของจิตที่จะต้องเป็นอย่างนี้ คือ สะสมทั้งกุศล และ อกุศล ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาติหน้า หรือ ในชาติต่อๆ ไปจะเป็นคนอย่างไร มีความประพฤติเป็นไปอย่างไร นั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ชาตินี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่แต่ละคนจะได้พิจารณาเพื่อเตือนตนเองอยู่เสมอว่า เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ดีแล้วจริงๆ ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ ดีกว่าการเกิดในอบายภูมิ และ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ก็ควรทำความดี ประกอบกุศลกรรม ละเว้นความชั่ว ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ และ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง ต่อไป เพื่อดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ในที่สุด จึงจะเป็นผู้มีชีวิตไม่สูญเปล่าในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนถามความเห็นที่ 1
บัณเฑาะก์ ไม่มีภาวรูปทั้งหญิงและชาย แต่ภาวรูปก็มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ไม่เข้าใจค่ะ ว่าภาวรูปของบัณเฑาะก์จะเป็นเช่นไร
เรียนความคิดเห็นที่ 6 ครับ
การที่สัตว์ บุคคลทั้งหลายโดยทั่วไปต่างกันเป็นหญิงและชายนั้น เพราะภาวรูป ๒ คือ อิตถีภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศหญิง
ปุริสภาวรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ทำให้ปรากฏเป็นทรวดทรง สัณฐาน อาการ กิริยา ท่าทางของเพศชาย
ในแต่ละบุคคลจะมีภาวรูปหนึ่งภาวรูปใด คือ อิตถีภาวรูป หรือปุริสภาวรูปเท่านั้น และ บางบุคคลก็ไม่มีภาวรูปเลย เช่น พรหมบุคคลในพรหมโลก และผู้ที่เป็นกะเทย ดังนั้น กะเทย จึงไม่มีภาวรูปเลยครับ ที่แสดงลักษณะเพศชายและหญิง ไม่มีเพศชายและหญิงนั่นเอง ครับ เช่น ไม่มีอวัยวะเพศ ครับ
เรียนถามความเห็นที่ 7
ในสมัยพุทธกาล มีบัณเฑาะก์ แต่ในยุคสมัยนี้ ไม่มีบัณเฑาะก์ใช่หรือไม่
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะเรียนถาม
ขอเรียนถามความเห็นที่ 7 เพิ่มเติมค่ะว่า บัณเฑาะก์ บวชไม่ได้ใช่หรือไม่ อยากทราบว่า
เพศชายที่มีจิตใจและกิริยาเป็นสตรี สามารถบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้หรือไม่
เรียนความเห็นที่ 8 และ 9 ครับ
บัณเฑาะก์มีได้ครับ แต่เราอาจไม่รู้ครับในปัจจุบัน
ส่วนบัณเฑาะก์บวชไม่ได้ แต่ชายที่มีใจเป็นสตรี ซึ่งในอรรถกถาไม่ได้ห้ามไว้ในเรื่องการบวชโดยตรง แต่หากแต่งตัวไม่เหมาะสม ดูผิดเพศ กิริยาอาการชัดเจนที่เบี่ยงเบนไปอีกเพศหนึ่ง ผู้ที่จะให้บวช อุปัชฌาย์สามารถพิจารณาว่าควรให้บวชหรือไม่ครับ เพราะดูแล้ว ไม่เหมาะสมก็ไม่ควรให้บวช ครับ
การไม่มีอวัยวะเพศเลย ...
แล้วจะปัสสาวะ ที่ไหนครับ
เรียนถาม ด้วยเหตุและผลครับ
บุคคลที่พิการ ก็อาจจะมีช่องแต่ไม่ได้มีลักษณะของอวัยวะเพศก็ได้ครับ เรื่องกรรมเป็นเรื่องที่วิจิตร หากเป็นอกุศลกรรมให้ผลสามารถทำให้ผิดปกติต่างๆ ได้มากมาย ตามความวิจิตรของกรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ข้อความบางส่วนจากความเห็นที่ 7 ที่แสดงว่า ...
"ดังนั้น กะเทยจึงไม่มีภาวรูปเลยครับ ที่แสดงลักษณะเพศชายและหญิง ไม่มีเพศชายและหญิงนั่นเองครับ เช่น ไม่มีอวัยวะเพศครับ"
ไม่ทราบประเด็นนี้มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎกและอรรกถาหรือไม่คะ ว่าการไม่มีภาวรูปคือ ไม่มีอวัยวะเพศ เพราะตามที่เข้าใจภาวรูปไม่ใช่รูปที่เห็นด้วยตา แต่รู้ได้ "ด้วยใจ" เท่านั้น โดยการประมวลจาก รูปร่าง สัณฐาน อาการ กิริยา ที่ปรากฏ ภาวรูปคงไม่ได้หมายถึงอวัยวะเพศเพียงอย่างเดียว เพราะการที่จะระบุว่าหญิงหรือชายนั้น สามารถรู้ได้แม้เพียงภายนอกตามลักษณะ สัณฐาน อาการ กิริยาที่ปรากฏว่าหญิงหรือชายค่ะ