ถ้าไม่มี่สภาพรู้ก็ไม่สามารถรู้สภาพของรูปได้หรือครับ ?

 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่  17 ส.ค. 2554
หมายเลข  18959
อ่าน  1,235

ผมติดตามฟังรายการธัมมะทาง สทท. ดีมากๆ ขออนุโมทนาครับ.

ด้วยความที่ผมยังไม่เข้าใจ ขอถามว่า

- ถ้าไม่มี่สภาพรู้ก็ไม่สามารถรู้สภาพของรูปได้หรือครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ถ้าไม่มี่สภาพรู้ก็ไม่สามารถรู้สภาพของรูปได้หรือครับ?

ธรรมที่มีจริง มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ นามธรรมและรูปธรรม นามธรรมคือสภาพธรรมที่รู้

ส่วน รูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย นามธรรม แบ่ง เป็น จิต เจตสิก นิพพาน

นามธรรมที่เป็นสภาพรู้ที่มีในชีวิตประจำวัน คือ จิต เจตสิก เมื่อจิตเกิดขึ้น ต้องมีเจตสิก

เกิดร่วมด้วย จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้-เป็นใหญ่ในการรู้ เจตสิกก็เป็นสภาพรู้เช่นกัน เมื่อจิต

เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่รู้แล้ว ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย ซึ่งจิตที่เป็นสภาพรู้ สามารถรู้ได้

ทุกอย่าง รู้รูปธรรมก็ได้ รู้นามธรรมก็ได้ครับ ซึ่งรูปธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย

เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น สภาพธรรมเหล่านี้มีอยู่แล้ว แต่การที่

จะปรากฎให้เรารู้ได้ ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ จิตแล้ว ก็ไม่สามารถรู้รูปธรรมได้เลยครับ

ยกตัวอย่างเช่น เสียงมีอยู่ในชีวิตประจำวัน เสียงรถ เสียงต่างๆ มากมาย แต่ถ้าไม่มี

สภาพรู้ คือ จิต เสียงก็จะไม่ปรากฎกับเรา คือ จะไม่ได้ยินเลยครับ ดังนั้นเพราะมีสภาพรู้

คือ จิตได้ยิน (โสตวิญญาณ) ตามที่กล่าวแล้ว เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ จิตได้ยิน

จะได้ยินกลิ่นไม่ได้ แต่ได้ยินเสียง เสียงเป็นรูปธรรม เพราะมีจิตได้ยินเกิดขึ้น รู้เสียง

(รูปธรรม) ทำให้เราได้ยินเสียงนั้นครับ ดังนั้นถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ จิตและเจตสิกเลย ก็จะ

ไม่มีการรู้สิ่งใดเลย ไม่เว้นแม้แต่รูปธรรม คือไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเพราะไม่มีจิต-เจตสิกที่เป็น

สภาพรู้ครับ เพราะฉะนั้น ที่โลกปรากฎในขณะนี้เพราะมีจิต เจตสิก เช่น ที่กำลังเห็น สี

เห็นสิ่งต่างๆ ที่กำลังได้ยินเสียงต่างๆ ที่ได้กลิ่นต่างๆ ได้รู้รสต่างๆ รู้กระทบสัมผัสต่างๆ

เย็นบ้าง อ่อนบ้าง ร้อนบ้างฯลฯ ถ้าไม่มีจิต-เจตสิกที่เป็นสภาพรู้แล้ว ก็ไม่มีสภาพธรรมที่ไปรู้รูป (คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อนฯลฯ) โลกนี้ก็จะไม่ปรากฎเลย มืดสนิท ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ก็ไม่ต่างจากศพหรือคนที่ตายแล้ว หรือ ก้อนหิน ต้นไม้ครับ คือ ไม่มีการเห็น รูปไม่มีการได้ยินเสียง (รูป) อะไรทั้งสิ้นครับ

แม้แต่การเจริญอบรมปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีใน

ชีวิตประจำวัน ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ จิต เจตสิกแล้ว ก็ไม่สามารถอบรมปัญญา รู้ความจริง

ของสภาพธรรมได้ เพราะไม่มีสติ (เจตสิก) ที่เป็นสภาพรู้ ไม่มีปัญญา (เจตสิก) ที่เป็น

สภาพรู้ เมื่อไม่มีจิต ก็ไม่มีเจตสิกด้วย เมื่อไม่มีจิตและเจตสิกที่เ่ป็นสภาพรู้ ก็ไม่สามารถรู้

ความจริงที่เป็นรูปธรรมในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 286

จิตตสูตร

[๑๘๐] เทวดาทูลถามว่า

โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไร

หนอย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไป

ตามอำนาจของธรรมอันหนึ่ง คืออะไร.

[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

โลก อันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อม

เสือกไสไป โลกทั้งหมด เป็นไปตามอำนาจ

ของธรรมอันหนึ่ง คือ จิต.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ1. ฯลฯ เมื่อจิต เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมทีรู้แล้ว ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย ฯลฯ ตรงนี้ขอเรียนถามว่าสภาพธรรมที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เกิดกับจิตพร้อมกันหรือไม่?2. ฯลฯ ซึ่งจิตที่เป็นสภาพรู้ สามารถรู้ได้ ทุกอย่าง รู้รูปธรรมก็ได้ รู้นามธรรมก็ได้ครับ ฯลฯ ตรงนี้อยากให้ท่านเพิ่มเติมว่ารู้รูปธรรมและรู้นามธรรมพร้อมกันหรือไม่?

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2554

เรียนความเห็นทืี่ 2 ครับ

1. ฯลฯ เมื่อจิต เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมทีรู้แล้ว ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย ฯลฯ ตรงนี้ขอเรียน

ถามว่าสภาพธรรมที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เกิดกับจิตพร้อมกันหรือไม่?

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกันเสมอ แต่เป็นอารมณ์ของจิตหรือสิ่งที่ถูกจิตรู้ได้ เช่น ขณะ

ที่ได้ยินเสียง เสียงที่เป็นรูปธรรมเกิดก่อนแล้ว แต่เสียงไม่ได้ดับ (เสียง รูปมีอายุเท่ากับ

จิตเกิดดับ 17 ขณะจึงดับไป) เมื่อเสียงเกิดขึ้น ก็มีจิตสืบต่อจนถึง จิตได้ยิน (โสต

วิญญาณ) เกิดขึ้นรู้อารมณ์ คือ จิตรู้ เสียงนั้นที่ยังไมได้ดับ จิตได้ยินที่เกิดขึ้น รู้เสียง

คือได้ยินเสียงนั้นครับ ดังนั้น จิตได้ยินเกิดทีหลัง รูปคือเสียงที่เกิดก่อน เพียงแต่ว่าเสียง

นั้นยังไม่ได้ดับไป จึงเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ได้ครับ คือ จิตได้ยินรู้ได้นั่นเอง หรือสิ่งที่ถูกรู้โดย

จิตบางประเภท สิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่เกิดก็มี มีพระนิพพาน เป็นต้น แม้สิ่งนั้นจะไม่เกิด แต่จิตก็รู้

ได้ รู้พระนิพพานได้ครับ

------------------------------------------------------------------------2. ฯลฯ ซึ่งจิตที่เป็นสภาพรู้ สามารถรู้ได้ ทุกอย่าง รู้รูปธรรมก็ได้ รู้นามธรรมก็ได้ครับ ฯลฯ ตรงนี้อยากให้ท่านเพิ่มเติมว่ารู้รูปธรรมและรู้นามธรรมพร้อมกันหรือไม่? -------------------------------------------------------------------------

ขณะที่จิตเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้นั้นเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรมก็ได้

ตามที่กล่าวมาครับ แต่เมื่อจิตประภทใดประเภทหนึ่งเกิดขึ้น จะต้องอารมณ์ หรือสิ่งที่

ถูกจิตรู้เพียงอย่างเดียวครับ ไม่ใช่รู้ทีละหลายๆ อย่างเพียงจิตเดียวครับ เช่น จิตได้ยิน

เกิดขึ้น จิตได้ยินก็ต้องรู้เสียงในขณะนั้นเท่านั้น จิตได้ยินจะรู้ สี รู้กลิ่นไปพร้อมๆ กันขณะ

ที่รู้เสียงไม่ได้ครับ หรือ จิตได้ยินที่รู้เสียง มีอารมณ์เดียว จะไปรู้นามธรรมพร้อมๆ กับการรู้

รูปธรรมทีเป็นเสียงในขณะเดียวกันไม่ได้ครับ สรุปก็คือ จิตประเภทใดประเภทหนึ่ง รู้

อารมณ์ คือ มีสิ่งที่ถูกรู้เพียงอย่างเดียวในแต่ละขณะจิต ถ้าจิตประเภทนั้น รู้ รูปธรรมใด

รูปธรรมหนึ่ง จิตนั้นก็จะไม่รู้รูปอื่นๆ และนามอื่นๆ ด้วยครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ท่านตอบชัดเจนมากครับ แต่ผมสงสัยที่ท่านกล่าวว่า ฯลฯ จิตได้ยินที่รู้เสียง มีอารมณ์เดียว จะไปรู้นามธรรมพร้อมๆ กับการรู้รูปธรรมทีเป็นเสียงในขณะเดียวกันไม่ได้ ฯลฯ นั้น.ผมขอเรียนถามว่า"จิตได้ยินที่รู้เสียงที่เป็นรูป จะรู้การได้ยินที่เป็นนามพร้อมกับรู้เสียงที่เป็นรูปในขณะเดียวกัน ได้ไหมครับ? ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

จากคำถามที่ว่า

จิตได้ยินที่รู้เสียงที่เป็นรูป จะรู้การได้ยินที่เป็นนามพร้อมกับรู้เสียงที่เป็นรูปในขณะเดียว

กันได้ไหมครับ?

----------------------------------------------------------------------------------------

จิตได้ยิน เมื่อเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ที่เรียกว่า อารมณ์ จิตได้ยิน รู้อะไร ก็ต้องรู้

เสียงดังนั้นจิตได้ยินต้องรู้เสียงเท่านั้น จิตแต่ละประเภท แต่ละดวง ต้องมีอารมณ์ คือ

สิ่งที่ถูกรู้เพียงอย่างเดียวครับ จิตได้ยิน จึงรู้เสียงเท่านั้นครับ ไม่รู้รูปอื่นๆ นามอื่นๆ

สำหรับจิตได้ยินซึ่งตัวจิตได้ยิน ตัวมันเอง จะไม่รู้ตัวมันเองครับ ต้องรู้สภาพธรรมอื่นที่

ไม่ใช่ตัวเอง แต่ถ้าเป็นจิตอื่น สามารถรู้จิตได้ยินได้ครับ ดังนั้นต้องเป็นจิตคนละดวง

ครับที่จะรู้จิตอีกดวง ไม่ใช่จิตดวงเดียวกัน ไปรู้ตัวมันเองไมได้ครับ เหมือนกับปลาย

นิ้วโป้ง จะไปแตะปลายนิ้วอื่นๆ ได้ แต่ปลายนิ้วโป้งจะไปแตะปลายนิ้วโป้งเองไม่ได้

ครับ จิตได้ยิน จะไปรู้จิตได้ยินไม่ได้ครับ ต้องรู้เฉพาะเสียงเท่านั้นครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น

ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดีพอใจ หงุดหงิดโกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด, ธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย เมื่อไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ น้อมไปสู่อารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกัน เมื่อเกิดขึ้น ต้องรู้อารมณ์ ขึ้นอยู่กับว่า ในขณะนั้น กำลังรู้อารณ์อะไร เช่น ขณะที่ได้ยิน (โสตวิญญาณ) จิตและเจติสก ก็รู้อารมณ์เดียวกัน คือ รู้เสียง ซึ่งเสียงนั้น ก็เป็นรูปธรรมประการหนึ่ง เสียงเป็นเสียง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป แต่จะเป็นอารณ์ของจิต ก็ต่อเมื่อจิตเกิดขึ้นรู้เสียง มีโสตทวราราวัชชนจิต โสตวิญญาณ สัมมปฏิจฉันนจิต เป็นต้น รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สภาพรู้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้น เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น รูป เป็นรูป แต่สภาพธรรมที่รู้รูป ต้องเป็นนามธรรมเท่านั้น

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 18 ส.ค. 2554
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และท่านวิทยากรทั้งสองอย่างสูง และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
อินทวัชร
วันที่ 18 ส.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ