หลักสูตรวิชาพระอภิธรรม - ของนักเรียน
ตอนอยู่ ป.๑ จำได้ว่า คุณครูที่สอน "วิชาศีลธรรม" สอนตามตำรา ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ "จงทำดี จงอย่าทำชั่ว จงทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
โดยส่วนตัว...กว่าจะพอเข้าใจความหมาย และ เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร ก็ผ่านการฟังพระธรรมที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์มาหลายปี ซึ่งไม่มีสอนในโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยไหนๆ (ทางโลก) เลย
สังเกตว่า ในศาสนาอื่น มีการนำคัมภีร์ของศาสนานั้นๆ มาสอน โดยบรรจุเป็นหลักสูตรโดยเริ่มตั้งแต่ "เด็กนักเรียน" ชั้นประถม ถึง ระดับมหาวิทยาลัย
แล้วเป็นไปได้ไหมคะ...ว่า "วิชาพื้นฐานพระอภิธรรม" จะมีการบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียน การสอน สำหรับ "เด็กนักเรียนชาวพุทธ" ในโรงเรียนรัฐบาล-เอกชน (ทางโลก) ของประเทศไทย.
ถ้าเป็นไปได้ ควรจะเป็นอย่างไร โดยวิธีไหน ขอทราบความเห็น และ คำแนะนำ ค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธรรมเป็นพระธรรมที่ไม่สาธารณะกับบุคคลใด ดังนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์และเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องจริงๆ จึงจะส่งเสริม ปลูกฝัง แนะนำเยาวชน ซึ่งในความเป็นจริงเราจะต้องยอมรับข้อหนึ่งว่า ในยุค พันปีที่ ๓ พระพุทธศานาก็ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา ความเห็นผิด มีมากกว่าความเห็นถูก ดังนั้น ผู้ที่มีความเห็นผิด จึงมีมากกว่าความเห็นถูก ความเห็นผิดจึงเป็นใหญ่เพราะมีมาก มีกำลัง ก็ย่อมจะส่งเสริมสิ่งที่คิดว่าถูก แต่เป็นความเห็นผิดได้ เพราะขาดการศึกษาพระธรรมนั่นเองครับ ดังนั้น จึงปลูกฝังให้เด็กนั่งสมาธิ แทนที่จะศึกษาพระธรรมให้เด็กปฏิบัติ แทนที่จะศึกษาพระธรรม
ดังนั้น ธรรมจึงต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น มีเจริญและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ส่วนคำสอนอื่นก็มีการส่งเสริมตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นความเห็นผิดอยู่นั่นเอง ก็เท่ากับว่าส่งเสริมความเห็นผิดอีกเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าปัจจุบัน ความเห็นผิดมีกำลังและมีมาก การส่งเสริมก็คล้อยไปตามความเห็นผิดด้วย ครับ
เราคงไม่สามารถไปจัดการให้ผู้นั้น องค์กรนั้น โรงเรียน สังคมนั้นมีการให้เรียน ศึกษาพระธรรม ศึกษาพระอภิธรรมได้ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาพธรรม เพียงดูง่ายๆ ว่าปัจจุบัน ความเข้าใจถูกมีมากหรือความเข้าใจผิดมีมาก และสังคมปัจจุบัน องค์กร ประเทศสนับสนุนความเห็นถูก หรือ ความเห็นผิด องค์กร สังคม ประเทศสนับสนุนให้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจก่อน หรือว่าให้นั่งสมาธิ ให้ปฏิบัติธรรม
นี่ก็เห็นกันง่ายๆ แล้วครับว่า สังคม บุคคลต่างๆ คล้อยไปเป็นเช่นนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการให้โรงเรียนต่างๆ ให้มีการศึกษาพระธรรมครับ ที่เป็นความเห็นถูกครับ ตามเหตุผลข้างต้นที่กล่าวมา
สำหรับความเห็นผมแล้ว แม้บรรจุลงในการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานพระอภิธรรม แต่ถ้าขาดคนที่เข้าใจพระธรรมจริงๆ ว่าพระอภิธรรมคือสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน การศึกษาพระอภิธรรมที่ถูกต้องเพื่อเข้าใจตัวพระอภิธรรมว่าเป็นธรรมใช่เรา ดังนั้น แม้ไปสอนกันในโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันก็มีการสอนพระอภิธรรมมากมายในที่ต่างๆ แต่ถ้าขาดความเข้าใจในตัวผู้สอน ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการศึกษาพระอภิธรรม
เด็กก็ศึกษาเหมือนวิชาการทางโลก สาขาหนึ่ง ที่มุ่งที่จะท่องจำ ให้สอบผ่าน จำให้ได้ ได้ประกาศนียบัตรว่าจบอภิธรรมเป็นต้น แต่ไม่ได้เข้าใจความจริงว่าศึกษาพระอภิธรรมคือ เข้าใจตัวสภาพธรรมที่เป็นอภิธรรมในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ครับ เพื่อละความไ่ม่รู้ ความสำคัญผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลโดยไม่ใช่มุ่งจำชื่อ และเรื่องราวของพระอภิธรรม เพราฉะนั้นเมื่อขาดคนเข้าใจ สอนผิดๆ ไปก็ทำให้พระศาสนาอันตรธานเร็วขึ้นด้วยครับ แต่การบรรจุการศึกษาพระธรรมคงเป็นเรื่องยาก เพราะความเห็นผิดมีมากนั่นเองครับและโรงเรียนก็มีการบรรจุวิชาพระพุทธศาสนา แต่ปัญหาคือหากผู้สอนไม่ไ่ด้ศึกษาพระธรรมละเอียด ถูกต้องก็ทำให้เด็กเข้าใจผิดมากขึ้น ครับ
ที่สำคัญผมเห็นว่า การศึกษาพระธรรม ถ้าเราเข้าใจถูกว่า การสนใจพระธรรมที่ถูกต้องนั้นบุคคลนั้นจะต้องสะสมบุญ คือความเห็นถูกมาแล้วถึงจะสนใจในแนวทางที่ถูก ซึ่งมีไม่มาก ที่สำคัญที่สุด การที่บุคคลใดจะเริ่มสนใจพระธรรมนั้นก็ต้องมีเหตุปัจจัยพร้อม หากเหตุปัจจัยไม่พ้อม แม้เป็นเด็กก็ไม่สนใจ กลับมาสนใจตอนโต ตอนอายุมากก็ได้ ดังนั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยพร้อมเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้น หากมีสถานที่ที่รวมความเห็นถูกอยู่แล้ว ผู้ที่สะสมความเห็นถูกมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ธรรมจะทำหน้าที่ให้ได้ยินสิ่งที่ถูกต้อง และบุคคลเหล่านั้นย่อมไหลมาสู่สถานที่ที่แสดงธรรมที่ถูกต้อง รวมความเห็นถูกไว้นั่นเอง จึงไม่ต้องไปจัดการกับอะไร ให้เหนื่อยยากเพราะแต่ละคน ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา แม้ทุกๆ คนในที่นี้ อาจจะไม่ได้เรียนพระอภิธรรมตอนเด็ก ในโรงเรียน แต่ก็ได้มาพบกับพระธรรมที่ถูกต้องได้มาสนใจเข้าใจพระธรรมได้ แม้จะอายุไม่ใช่เด็กแล้ว เพราะว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยพร้อมนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ไหลมาสู่หนทางที่ถูก ทั้งการได้ฟังทางวิทยุ การได้เจอเวปไซด์และการได้มาฟังพระธรรมที่มูลนิธิฯ
โรงเรียนที่สอนให้เข้าใจมีอยู่แล้ว คือ พระธรรมที่ถูกต้อง ซึ่งที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็มีสอนพื้นฐานพระอภิธรรม ทุกวันอาทิตย์ตอนเช้า 10.30- 12.00 น. ด้วยครับ และก็มีสอนพระธรรมทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ด้วย ผู้ที่มีความเห็นถูกก็ย่อมน้อมเข้ามาในความเห็นถูกและได้สนใจตามเหตุปัจจัยที่พร้อมและสะสมมาครับ จึงสบายๆ ด้วยความเข้าใจว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้นไม่มีเรา ไม่มีใครครับ มีแต่ธรรม
ที่สำคัญ ตัวเราเองที่มีความเห็นถูกนั่นแหละ จะเป็นโรงเรียนให้เด็กหรือผู้อื่นที่สนใจพระธรรม สะสมความเห็นถูกมาไ้ด้เข้าใจพระธรรม ตามกำลังปัญญาของเรา ซึ่งเราเอง ก็สามารถแนะนำเด็กๆ ในบ้าน ผู้คนรอบข้างได้ครับ
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อภิธรรม ไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงในชีวิตประจำวัน ทุกขณะ เป็นอภิธรรม เพราะมีแต่ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ละเอียดเพราะไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไปเท่านั้นจริงๆ การได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันนั้น ก็เพราะเป็นผู้มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่มีจริง จึงฟัง จึงศึกษาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีศรัทธา ไม่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรม แล้ว ถึงแม้จะมีโอกาสได้ฟัง ก็ไม่สนใจ หรือไม่ก็ผ่านเลยไป โดยไม่ได้ฟัง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเข้าใจธรรมเลย หรือถ้าจะพิจารณาตามความเป็นจริง คือ ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในสังคมไทย ระหว่างผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ในแนวทางที่ถูกต้อง ย่อมมีน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา หรือ ศึกษาแต่ไม่เข้าใจ มีจุดประสงค์ที่ไม่ถูกต้องในการศึกษา ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้เท่านั้น ที่เป็นอย่างนี้ แม้ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา แต่ก็มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไม่ไปฟัง ไม่ให้ความสำคัญ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ
เพราะฉะนั้น พระธรรม จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนเท่านั้น และส่วนบุคคลผู้ที่ไม่ได้สะสมบุญมาย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม การที่จะไปจัดการอะไรๆ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการหรือพึงประสงค์ อย่างเช่นจากประเด็นที่คุณพุทธรักษาได้ยกมานั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก และคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถทำให้คนทุกคน หันมาเป็นผู้สนใจศึกษาพระธรรม (ธรรม ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน)
แต่ถ้าโรงเรียนใด มหาวิทยาลัยใด หรือ แม้กระทั่งหน่วยงานใด เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ซึ่งบุคคลที่อยู่ในหน่วยงานนั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจจากการฟัง การศึกษา ตามกำลังปัญญาของตนเอง ก็ย่อมจะไม่ละเลยโอกาสในการอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรม ตามด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม สิ่งที่สำคัญ คือ ตนเอง ต้องเข้าใจธรรม ก่อน จึงจะสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นเข้าใจ ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ผมคิดว่าการเรียนในโรงเรียนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้และวุฒิการศึกาษาไปใช้ประโยชน์ในเรื่องการประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งก็ไม่พ้นไปจาก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ดังนั้น ไม่ว่าจะบรรจุอะไรให้เด็กเรียนโดยผู้เรียนมีวัตถุประสงค์เช่นนั้น ก็ไม่มีประโยชน์ในการขัดเกลากิเลส หรือร้ายยิ่งกว่าคือการมีศึกษาแบบจับงูพิษที่ข้างหาง
การศึกษาที่ถูกต้อง จึงควรเริ่มด้วยความเข้าใจประโยชน์ของพระธรรมซึ่งเป็นธรรมเครื่องนำออกจากโลกธรรม และมีวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องคือการศึกษาเพื่อเข้าใจและดับกิเลสในที่สุด สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ดังนี้ ย่อมแสวงหาการศึกษาพระธรรมจากแหล่งความรู้ที่ยังมีอยู่ครบในปัจจุบันครับ