เอาตัวรอด [ตอน ๓ ... ทางรอดมี ... จบ]
ในชีวิตประจำวันทันทีที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบสัมผัสก็ติดข้องใน สิ่งต่างๆ เมื่อไม่มีความเข้าใจพระธรรม มีแต่ความไม่รู้ ความติดข้อง ความยึดถือสภาพ ธรรมว่าเป็นตัวตนก็แสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนได้แต่สิ่งที่ดีๆ ให้ได้เห็น ได้ยิน ... สิ่งที่น่า พอใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่น่าพอใจก็ขุ่นเคืองใจ
ชีวิตในแต่ละวันจึง เอาตัวไม่รอด จากอกุศล ชีวิตดำเนินไปตามอำนาจของกิเลสต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีวันจบสิ้น ทางรอดมี รอดจากกิเลสด้วยปัญญา ความเห็นถูกเข้าใจถูก เห็นประโยชน์ของการ เข้าใจธรรมะ ธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้รอดจากอกุศลได้ ธรรมะสำหรับศึกษาไม่ใช่คิด เอาเอง ถ้าคิดเองก็ไม่รอดแน่ๆ แต่ทางรอดก็ต้องเริ่มจากฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ จนกว่าธรรมะปฏิบัติธรรมะเอง เห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินเป็นสภาพได้ยินไม่ ใช่เราได้ยิน ... จนกว่าสติระลึกสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไป ระลึก มีแต่ธรรมะปฏิบัติธรรมะ
ขออนุโมทนาค่ะ ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เอาตัวรอด ตัวไม่มี มีแต่ธรรม ที่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ซึ่งในชีวิตประจำวัน จิตเป็น อกุศลเป็นส่วนใหญ่ จิตที่เป็นอกุศลที่เิกิดขึ้น เป็นจิตที่ไม่ดี จิตที่ไม่ดี ย่อมนำสิ่งที่ไม่ดี มาให้ จึงไม่รอดจากอกุศล คือ อกุศลเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีตัวตนที่จะให้เอาตัวรอด เพราะเมื่อมีเหตุปัจจัย อกุศลก็เกิดขึ้น ก็ชื่อว่าเอาตัวไม่รอดจากอกุศลในขณะนั้นครับ การเอาตัวรอด ก็ไม่มีตัวเราที่จะพยายามเอาตัวรอดเช่นกัน ขณะใดที่กุศลเกิด ก็เอาตัว รอดในขณะนั้น แต่ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นผู้เอาตัวรอดจริงๆ เพราะยังมีเชื้อของกิเลสที่มีอยู่ จึงยังไม่รอดจากอกุศลที่จะต้องเกิดขึ้นอีกเป็นธรรมดา และที่สำคัญยังเอาตัวไม่รอด จากการเกิด จากการต้องเกิดในอบายภูมิ
การเอาตัวรอดจริงๆ คือ การไม่ตัวไม่มีการเกิด ขึ้นของจิต เจตสิก รูปอีก ชื่อว่าเป็นผู้เอาตัวรอดอย่างแท้จริง
รอดจากกิเลสที่ไม่มีอีก รอดจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูปที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งหนทางการเอาตัวรอดที่ แท้จริงคือการเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงใน ขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยเริ่มจกาการฟังพระธรรมให้เข้าใจในเรื่องสภาพธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นทีละน้อยก็ค่อยๆ รอดจากอกุศล แต่เพียงชั่วขณะ ยังไม่ชื่อว่าเอาตัว รอดจริงๆ แต่อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ย่อมสามารถถึงการดับกิเลส ถึงการเอาตัวรอดได้ จริงๆ ครับ
ขอนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาที่นำธรรมดีๆ มาให้พิจารณาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่สัตว์โลกยังมีกิเลสอยู่ ก็ไม่สามารถพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะเหตุว่าถูกกิเลสผูดมัดไว้ไม่ให้พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ นั่นเอง และในชีวิตประจำวัน ก็ถูกกิเลสประการต่างๆ ผูกมัดไว้ไม่ให้ไปสู่กุศลธรรม ไม่ให้กุศลจิตเกิด จึงเห็นได้ว่า อกุศลจิตเกิดมากกว่า กุศลจิตจริงๆ
การที่จะเอาตัวรอดจากอกุศลได้ ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา ซึ่งเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ ฟังแล้วเข้าใจ เมื่อใด เมื่อนั้นก็รอดจากอกุศล รอดจากความไม่รู้ รอดจากความเห็นผิด เป็นต้น และประการที่สำคัญ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา ด้วย ซึ่งจะทำให้ค่อยๆ รอดจากอกุศล ไปตามลำดับ จนกว่าจะเป็นผู้รอดจากกิเลสทั้งปวง ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ เป็นผู้รอดพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ซึ่งจะต้องดำเนินตามหนทางนี้เท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา ครับ.
... ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และทุกๆ ท่านครับ ...
ขณะที่เป็นกุศลก็เอาตัวรอดจาดอกุศลเพียงชั่วขณะ.., จนกว่าจะเป็นผู้รอดจากกิเลสทั้งปวง ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ... .ถึงการเอาตัวรอดได้จริงๆ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่น และ คุณผเดิม ด้วยค่ะ