นอนตายโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเรานอนอยู่แล้วไม่รู้ว่าตัวเองตายเิกิดจากสาเหตุใด
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ควรเข้าใจครับว่า ขณะที่ตาย คือ ขณะที่จิตที่เป็นจุติจิตเกิด เป็นชาติวิบากที่เป็นผล
ของกรรมที่เกิดขึ้น เมื่อจิตประเภทนี้เกิดขึ้น คือ จุติจิตเกิดย่อมทำกิจเคลื่อนจากความ
เป็นบุคคลนี้ไปเกิดอีกภพภูมิหนึ่งเมื่อยังมีกิเลลสอยู่ ดังนั้นขณะที่ตาย ทีเป็นจุติจิต ที
เป็นผลของกรรมทีเป็นวิบาก ขณะนั้นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น
กายและใจแพราะไม่อาศัยทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเกิดเลย ไม่รู้อารมณ์ใน
โลกนี้ โลกนี้ไม่ปรากฎเลย ไม่มีความรู้สึกตัวในขณะนั้น เพราะเป็นเพียงผลของกรรมที่
เกิดขึ้นนั่นเองครับ ขณะที่ตายจึงไม่น่ากลัว ดังนั้นที่เรากลัว กลัว เจ็บก่อนตายครับ
การตายจึงเป็นเพียงผลของกรรมที่เป็นจุติจิตเกิด ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นและรวดเร็วเพียง
ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น การรู้สึกตัว ในทางธรรมเรียกว่า มี สติ สัมปชัญญะ (ปัญญา)
โดยมากของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสและสะสมกิเลส ความไม่รู้มามาก ย่อมเป้็นผู้หลงลืม
สติเพราะมีอกุศลจิตที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันครับ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่ง
ก่อนตาย ย่อมมีจิตที่รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว เป็นชวนจิต คือ จิตทีเป็นกุศล หรือ อกุศลที
เกิดขึ้นก่อนตายหรือจุติจิตเกิดครับ ขณะที่เป็นอกุศลย่อมไม่รู้สึกตัวเพราะจิตที่เป็น
อกุศลไม่มีสติและปัญญาเกิดในขณะนั้น จึงไม่รู้สึกตัวก่อนตายเลย ไม่ว่าจะนอนตาย
หรือตายแบบใดก็ไม่รู้สึกตัวเลยครับ เพราะไม่รู้สึกตัวด้วยสติและปัญญา แต่ถ้าเป็นก่อน
ตายของผู้ที่สะสมปัญญมามากท่านย่อมรู้สึกตัว คือ มีสติและสัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิด
ขึ้น ก่อนจุติ (ตาย) เกิดขึ้น เช่น พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของสติและ
ปัญญาของแต่ละคนว่าจะเกิดขึ้นก่อนตายหรือไม่อย่างไร อันแสดงถึงการู้สึกตัว ก่อน
ตายและไม่รู้สึกตัวก่อนตาย เป็นผู้หลงกระทำกาละนั่นอง ก่อนตายด้วยจิตที่เป็นอกุศล
ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
อุทิศกุศลให้เ้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ คือ มีการเกิดแล้ว ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะที่ตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ที่เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ทันที แล้วดับไป ขณะที่ตาย ไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ก่อนจะตาย (คือ ก่อนจุติจิตเกิดขึ้น) ต่างหาก ว่า จะเป็นอย่างไร กุศลจิตหรืออกุศลเกิดก่อนตาย นี่คือสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศลและไม่ประมาทในการเจริญประการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ดังนั้น จึงควรเจริญกุศลทันที ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาทันที เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ โอกาสที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวก่อนตาย คือ ขณะที่จิตเป็นกุศล เกิดก่อนตายก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ที่ประมาทมัวเมาในชีวิตอันจะเป็นผู้หลงตายซึ่งก็คือ ตายอย่างไม่มีที่พึ่ง นั่นเอง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในพะรไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ มีพระภิกษุรูปหนึ่ง เป็นพระปฏิบัิติดี เจริญสมณธรรม
วันหนึ่งท่านตายไปเกิดในสวรรค์ แวดล้อมด้วยนางฟ้า พระภิกษุรูปนั้นยังไม่รู้ตัว
เองตายแล้วมาเกิดเป็นเทพบุตร ภายหลังท่านก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมและ
ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ