ศัตรูที่ต่อหน้าเป็นมิตร

 
เมตตา
วันที่  28 ส.ค. 2554
หมายเลข  19590
อ่าน  3,965

เห็นดอกไม้ตรงหน้าชอบดูไหม?

ได้ยินเสียงชม เสียงสรรเสริญว่า เราเก่ง เราเป็นคนดี ยินดีพอใจไหม?

ชอบ เป็นอกุศล เป็นโลภเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ยินดีพอใจในอารมณ์ เป็นศัตรูที่ต่อหน้าให้ติดข้องพอใจอยู่เสมอ เสมือนเป็นมิตรที่แสนดี ที่แท้มิตรที่อยู่ต่อหน้านั้นเป็นอกุศลความติดข้องที่เกิดขึ้น อะไรที่อยู่ตรงหน้าเหมือนดีเป็นมิตร แท้จริงทำให้เกิดความติดข้องซึ่งเป็นอกุศล เป็นโลภะ จะเป็นมิตรได้อย่างไร ซึ่งในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากทั้งโลภะ โทสะ และโมหะ แม้ขณะที่นั่งฟังธรรมอยู่ เห็นดอกไม้สวยๆ ก็ชอบแล้ว แล้วขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรมอกุศลจิตจะเกิดมากขนาดไหน จึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ความเข้าใจคือปัญญา อบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เห็นศัตรูที่ต่อหน้าว่าเป็นศัตรู เห็นอกุศลตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นศัตรูตามความเป็นจริงว่า เป็นศัตรูไม่ใช่มิตร

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ศัตรูจริงๆ อยู่ที่ไหน?

อกุศลจิต เปรียบเสมือนศัตรู

ขออนุโมทนาค่ะ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระัรัตนตรัย

ในความเป็นจริง เมื่อพูดถึงคำว่า มิตรและคำว่าเพื่อน คือ ผู้ที่หวังดี ต่อเราทั้งทางกาย วาจาและใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยความจริง ไม่คิดทำร้ายและนำแต่สิ่งที่ดี ประโยชน์สุขมาให้ นี่คือ ควาเมป็นมิตร มิตรที่ดี ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มิตร คือ ผู้ที่ไม่หวังดี มีจิต ไม่ชอบและหวังที่จะทำร้าย แม้ต่อหน้าจะเป็นผู้พูดดี แต่ก็คอยหาโอกาส จังหวะที่จะทำร้าย มีการพูดส่อเสียด เป็นต้น เท่ากับว่า ผู้ที่เป็นศัตรู ย่อมจะหาช่องที่จะนำสิ่งที่ไม่ดีมาให้กับคนนั้นและย่อมมีความไม่ชอบคนนั้นเป็นเหตุนั่นเองครับ นี่คือ มิตรและศัตรูที่เรา เข้าใจกันทางโลกครับ

ในความเป็นจริงของสภาพธรรม สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น ที่ทำร้ายใจของตนเองที่เกิดขึ้น คือ อกุศลจิตและอกุศลธรรมประการต่างๆ ขณะที่อกุศลเกิดขึ้น แม้จะนำมาซึ่งความสุข โสมนัส ชั่วคราว เช่น เมื่อโลภะเกิดขึ้น ก็มีความสุข เพลิดเพลินไป เหมือนกับเป็นมิตรที่ดีกับเรา ที่ต่อหน้านั้นทำดี นำความสุขมาให้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อโลภะเกิดขึ้น ทำร้ายใจ นำแต่สิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศลธรรมประการอื่นๆ และสะสมอกุศลนั้นต่อไป ให้เป็นผู้มากด้วยกิเลสมากขึ้น และเมื่อ อกุศลมีกำลัง ก็ทำบาป จนเป็นเหตุปัจจัยให้ไปนรก ไปอบายภูมิ นี่คือ มิตรที่ดีต่อหน้า แต่ในความเป็นจริง เป็นศัตรู เพราะนำแต่สิ่งที่ไม่ดีมาให้นั่นเองครับ และแม้อกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็เช่นกันครับ นำแต่สิ่งที่ไม่ดีมาให้ แม้ดูจะดีเพียงชั่วขณะ โกรธ ว่าคนอื่น สมใจ สะใจ แต่โทษมีมากมายหลังจากนั้น เป็นมิตรที่ดีต่อหน้า ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นก็ได้รับทุกข์ โทมนัสที่เกิดจากโทสะมากมาย เป็นศตรูภายในที่อันตรายที่สุดคือ อกุศลธรรม อกุศลเจตสิกทั้งหลายครับ

มิตรที่ดี คือ นำแต่สิ่งที่ดี ประโยชน์สุขมาให้ ดังนั้นมิตรที่ดี ที่เป็นสัจจะ ความจริง คือ อกุศลธรรมประการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อกุศลเกิดขึ้น จิตดีงาม ไม่ทำร้ายใจของบุคคลนั้นเลย และย่อมนำมาซึ่งความสุขในโลกนี้และโลกหน้าด้วยครับ เป็นมิตรที่แท้จริง เพราะ นำประโยชน์มาให้ ไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้นครับ โดยเฉพาะปัญญา ความเห็นถูก เป็นมิตรที่ ประเสริฐ สูงสุด เพราะนำมาซึ่งประโยชน์ใหญ่ คือ ความเห็นถูกตามความเป็นจริงครับ และสามารถละกิเลส คือ ละศัตรูที่ทำร้ายจิตใจได้นั่นเองครับ เพราะมีความเห็นถูก จึงทำแต่สิ่งที่ดี ที่ถูกก็เมื่อทำสิ่งที่ดีแล้ว สิ่งที่ดีก็ย่อมตามมาครับ ความเห็นถูกจึงเปรียบเหมือนมิตรเพราะนำสิ่งที่ดีมาให้นั่นเองครับ

ปัญญา ความเห็นถูก จึงเป็นมิตรที่ประเสริฐ เพราะสามารถทำให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากสิ่งที่เป็นศัตรู คือ กิเลสได้หมดจริงๆ ครับ เพราะเห็นศัตรูตามความเป็นจริง คือ เห็นว่ามีโทษและเห็นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ มิตร หรือ ศัตรูที่แท้จริง คือ ขณะนี้ ขณะจิตที่เป็น อกุศล หรือ กุศล มีความเห็นถูก เป็นต้นครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่เป็นกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่ตั้งแต่ความติดข้องยินดีพอใจ นั้น เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเกิดความยินดี พอใจ ติดข้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะใด ขณะนั้นเป็นผู้ถูกกิเลสทั้งหลายครอบงำแล้ว ถูกความติดข้อง ยินดีพอใจครอบงำแล้ว มีศัตรูเกิดขึ้นแล้วในจิต โลภะ ไม่ใช่มิตร (แต่ทำตัวเหมือนมิตร มีข้อความที่แสดงว่า โลภะ เป็นเพื่อนอยู่ด้วยเกือบตลอดเวลา) แต่เป็นศัตรูอย่างแท้จริง เพราะขึ้นชื่อว่า อกุศลหรือกิเลสทุกประเภทแล้ว ไม่ใช่มิตร แต่เป็นศัตรู ที่ติดข้อง ยินดีพอใจ ไม่ใช่ความผิดของรูป เสียง เป็นต้น แต่เป็นเพราะการได้สะสมกิเลสประเภทนั้นๆ มาแล้ว เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย กิเลสก็เกิดขึ้น เพราะบุคคลผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดแล้วกิเลสย่อมไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะกระทบกับอารมณ์ประเภทใดๆ ก็ตาม ดังนั้น ผู้ที่หมดกิเลสแล้วกับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น จึงแตกต่างกัน เนื่องจากยังมีกิเลสอยู่นี่เอง จึงต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ต่อไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง อันจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เมื่อความรู้ความเข้าใจเจริญขึ้น อกุศลก็จะค่อยๆ ลดคลายลง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 29 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
bsomsuda
วันที่ 29 ส.ค. 2554

"... เกิดความยินดีพอใจ ติดข้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะใด

ขณะนั้น เป็นผู้ถูกกิเลสทั้งหลายครอบงำ แล้ว..

เพราะการได้สะสมกิเลสประเภทนั้นๆ มาแล้ว

เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย กิเลสก็เกิดขึ้น"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 2 ม.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ