สิทธิพิเศษของความเป็นอริยะปัจจุบัน

 
SOAMUSA
วันที่  29 ส.ค. 2554
หมายเลข  19599
อ่าน  2,351

จากบทความข้างล่างนี้ ทำให้เป็นช่องว่าง ที่พระที่บอกว่าตนเอง เป็นอริยะ ประกาศว่าชาติหน้าไม่เกิดอีกแล้ว เป็นพระอริยะแล้ว ทำอะไรก็ได้ไม่น่าเกลียด ทั้งมีทรัพย์สิน ทั้งไม่ต้องสำรวม แล้วก็บอกว่า สักแต่ว่าทำไปเหมือนเก่า เพราะเป็นอริยะแล้ว กลับสู่การกระทำที่เคยทำ ผมบนศีรษะก็ไม่โกนเหมือนพระทั่วไป กลับใช้เส้นผมเว้นไว้ไม่โกนจนเกลี้ยง เว้นไว้เป็นตัวหนังสือ ถ่ายรูปน่ารักๆ ในห้างชูสองนิ้ว แต่ท่านและลูกศิษย์ประกาศความเป็น อริยะของท่าน ได้รับสิทธิพิเศษเพราะว่าดูจากจริยาไม่ได้ เป็นอริยะแล้วต้องกลับมาเป็นเด็กมีจิตที่บริสุทธิ์ทำอะไรออกมาเป็น เป็นสิ่งที่ไม่ผิด

ในความเป็นอริยะในสมัยพุทธกาลดิฉันเชื่อว่า เราต้องเชื่อเช่นนั้นว่า จริยาท่านเป็นดังบทความข้างล่างนี้ แต่ในปัจจุบันที่ยกมาด้านบน งดเว้นได้ขนาดนี้เชียวหรือ อริยะนั้นเป็นจริงหรือในยุคนี้ที่อยู่ได้แบบ หรูหรา เดินห้าง ไม่ต้องสำรวม


พระอริยะน่ะ เขาดูจริยาไม่ได้

พระอริยะน่ะ เขาดูจริยาไม่ได้ พระอริยะนี่ถ้าดูจริยาภายนอกผิดหมด เพราะพระอริยะนี่เป็นคนใจเปิด ถ้าเป็นพระอรหันต์เมื่อใดก็ดูเหมือนเด็กๆ ตอนเด็กๆ หรือก่อนบวชเป็นยังไง ท่านจะใช้จริยานั้นเพราะเป็นพระไม่มีการผูกอีกต่อไป จึงไม่มีมายานิสัยเดิมๆ เป็นยังไง พระอริยะก็ใช้นิสัยนั้น ท่านปล่อยตามสบายเพราะจิตท่านไม่มีอะไร

อย่าง พระสารีบุตร ท่านไปกับพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ พอถึงลำรางพระองค์อื่นๆ ค่อยๆ ย่องๆ ไป พระสารีบุตรขัดเขมร โดดแพล๊บนั่นพระอัครสาวกเบื้องขวานะ ภายหลังมีพระถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมพระอัครสาวกเบื้องขวาจึงขัดเขมรโดด” พระพุทธเจ้าบอก “อย่าไปว่าท่านเลย ลูกตถาคตไม่มีอะไรหรอกก็มาจากลิง” แล้วก็มี พระอีกองค์หนึ่งท่านเป็นแม่ทัพมาก่อน พอเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็อยู่ในป่า ท่านรบของท่านองค์เดียวก็เอาไม้เล็กๆ ที่มันหักแล้วมาตัด มาวางตั้งเป็นกองทัพ ไอ่นี่เป็นเมือง ไอ่นี่ตั้งเป็นกำแพงเมือง ไอ่นี่เคลื่อนทัพมาทางนี้ ข้าศึกมาทางโน้น และก็ทัพนั้นตี ตีอยู่คนเดียว เล่นง่วนอยู่องค์เดียว ตีไปตีมาในที่สุดพระย่องมาเห็นเข้า จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก “ลูกตถาคตเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ไปตีกับใครหรอก ก็ตีอยู่แค่นั้นแหละ” น่ากลัวจะเป็นต้นตระกูลหมากรุกนะ

นี่ เห็นไหม กลับไปเป็นสภาวะเดิมหมด องค์นี้เขายังนึกถึงนิสัยของสภาวะเดิม เพราะสิ่งนั้นมันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับท่าน ที่ท่านเล่นตีไปตีมาอย่างนั้นน่ะ ท่านก็มองดูว่ามันไม่เป็นเรื่องตีกันเพื่อประโยชน์อะไร

บ้าน ก็แตก เมืองก็แตก แล้วแต่ แต่ละคนก็ตายไปหมด เรียกว่าทุกคนมีอำนาจวาสนาก็ตาย ตายไปแล้วเอาอะไรไปได้หรือเปล่า แล้วก็ทำให้ชีวิตมนุษย์ตาย ทำให้คนลำบาก ใช่ไหม ... ไม่เกิดประโยชน์ นี่ท่านเห็นความไม่เป็นเรื่องเป็นราวของชีวิต

ที นี้ที่คุณถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอริยะ ถามคนอื่นมันจะถูกรึ ถ้าหากว่าคุณกินแกง แล้วถามคนอื่นว่าเค็มไหมวะ ... เผ็ดไหมวะ ... เขาจะรู้ไหม?

จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับรวมเล่มปีที่ ๒


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

การประพฤติตามพระวินัยบัญญัติสำหรับพระภิกษุ ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับภิกษุรูปใด ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือ ภิกษุปุถุชน จะต้องปฏิบัติ พระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดและด้วยความเคารพเพราะพระองค์บัญญัติเพื่อประโยชน์ กับการอยู่ในคณะสงฆ์อย่างผาสุขและไม่ให้เป็นที่ติเตียนสำหรับชาวบ้าน จะนำมาซึ่ง ความเลื่อมใสกับผู้ประพฤติปฏิบัติตาม และที่สำคัญเป็นไปเพื่อละอาสวะกิเลสประการ ต่างๆ ด้วยครับ ดังนั้นไม่ว่าภิกษุรูปใดก็ตามที่บวชในพระธรรมวินัยนี้จึงต้องประพฤติ ปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติครับ

แม้ในเรื่องจริยา การประพฤติ การแสดงออกภายนอก พระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรง แสดงก็เป็นไปเพื่อความสำรวม ระวังกาย วาจาให้เหมาะสม อันเป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชาวบ้านและสำรวมกาย วาจาของพระภิกษุเองด้วยครับ มีการ สำรวมตา สำรวมกาย วาจา เป็นต้น รวมทั้งการปฏิบัติในการโกนศีรษะ การโกนคิ้วก็ต้องเป็นไปตามพระวินัย บัญญัติเช่นกัน ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับภิกษุรูปใด แม้พระอริยบุคคลด้วยครับ

ที่สำคัญที่สุด เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ท่านจะไม่ล่วงอาบัติ ด้วยเจตนารู้อยู่แล้วจะ ล่วงข้อนั้นไม่ใช่ฐานะที่ท่านจะทำได้เลยครับ แต่ท่านกับจะประพติตามพระวินัยบัญญัติ อย่างเคร่งครัดมากขึ้นกว่าการเป็นปุถุชน เพราะอะไร เพราะปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นเอง ครับ

ดังนั้นท่านจะรักษาประพฤติตามพระวินัยบัญญัติ ดังเช่นชีวิตของท่าน ไม่ล่วง ละเมิดแม้รู้อยู่เลยครับ นี่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาเจริญขึ้นมากเท่าไหร่ การประพฤติ ปฏิบัติตนก็ต้องตรงตามพระธรรมวินัยมากขึ้นเท่านั้นครับ ส่วนในเรื่องพระสารีบุตร กระโดดข้าม เพราะเคยเกิดเป็นลิง อันนี้ไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาครับ การล่วงละเมิดสิกขาบท แม้รู้อยู่และไม่มีเจตนารักษาพระวินัยบัญญัติ ไม่ต้องกล่าวถึง ความเป็นพระอริยบุคคล แม้ภิกษุปุถุชนที่ดียังเป็นไปไม่ไ่ด้เลยครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aditap
วันที่ 29 ส.ค. 2554

เป็นข้อสงสัยที่กำลังจะถามครับ ...

คือเรื่องของการกล่าววาจา ... .ถ้าผู้นั้นเป็นพระภิกษุแล้วกล่าวว่าตัวท่านเองเป็น พระอริยะแล้ว ... การกล่าวในลักษณะนั้นผิดพระวินัยข้อไหนบ้างครับ ... แล้ว..ข้อความที่ท่านพระอริยทั้งหลายในสมัยพุทธกาลท่านกล่าวแสดงการถึงที่สุดทุกข์ โดยชอบแล้ว มีเหตุผลอย่างไร เพราะเหตุไรท่านถึงกล่าวไว้ครับ

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ ... .

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 29 ส.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

โดยปกติ พระอริยเจ้าทั้งหลาย เมื่อท่านบรรลุธรรม ท่านเป็นผู้มักน้อยเป็นปกติ คือ ไม่ใคร่ให้ใครรู้ว่าท่านบรรลุธรรม เปรียบเหมือนผู้มีขุมทรัพย์ ทรัพย์สินมากมาย ย่อมไม่ ชอบที่จะเปิดเผย ไม่อยากให้ใครรู้ นี่คือปกติของพระอริยเจ้าทั้งหลายทีเป้นผู้มักน้อย ไม่แสดงคุณธรรมของตนให้คนทั่วไปทราบครับ

ซึ่งการกล่าวถึงคุณธรรมที่ไม่มีในตน ด้วยการกล่าวมุสาวาทในสิ่งที่ไม่จริง ก็เป็น อาบัติได้ครับ ถ้าพูดอ้อมๆ ก็ไม่เป็นอาบัติปาราชิกที่ขาดจากควาเมป็นพระภิกษุ แต่ก็ อาบัติ แต่ถ้ามีเจตนากล่าวอวดอุตตริมนุษธรรม คุณธรรมทีเหนือมนุษย์ คือ มรรค ผล นิพพาน เป็นต้น ที่ตนไม่มี โดยเจตนาโกหกและกล่าวตรงๆ ให้เข้าใจอย่างนั้น ก็อาบัติ ปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุครับ

ส่วนการที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าท่านถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ โดยมากท่านกล่าว จุดประสงค์ถูกต้อง และก็กล่าวถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทำให้ท่านถึงที่ สุดทุกข์ ท่านจึงเปล่งวาจา ด้วยจิตโสมนัสครับ กล่าวคาถา แสดงถึงการบรรลุธรรม ของท่าน

โดยไมได้มีเจตนาอวดใครเลย เพื่อลาภ สักการะ แต่แสดงถึงพระธรรมที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้ท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 29 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งมาก ซึ่งผู้ฟัง ผู้ศึกษาจะต้องเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ โดยอาศัยการฟังการศึกษาบ่อยๆ เนืองๆ พร้อมทั้งสนทนาสอบถามจากผู้ที่มีปัญญาด้วย ก็จะเป็นเหตุให้ความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้นไปได้ ถ้าไ่ม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใครว่าอะไร กล่าวอะไร ก็จะเชื่ออย่างง่ายๆ ไปหมดเพราะขาดปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ขาดการศึกษาและเทียบเคียงจากพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ย่อมจะเป็นผู้ที่มั่นคงในความเป็นจริง ไม่หวั่นไหวไปตามคำพูดของผู้อื่นเพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ว่า อะไร ผิด อะไร ถูก สำหรับบรรพชิตผู้ที่ย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบททั้งๆ ที่รู้ ไม่มีทางที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะในขณะที่ต้องอาบัติแต่ละข้อๆ นั้น เป็นเครื่องกั้นแล้วในการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และที่สำคัญ ถ้าเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว ไม่ได้กระทำคืนให้ถูกต้องตามพระวินัย เกิดมรณภาพลงในขณะนั้น ย่อมเป็นผู้มีอบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เท่านั้น เป็นอันตรายมากทีเดียว [ถ้าศึกษาในพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา จะพบว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิต ไปเกิดในอบายภูมิ มีมากทีเดียว เพราะไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นั่นเอง] ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น เป็นได้ด้วยปัญญา คำว่า พระอริยะ คือ ผู้ที่ประเสริฐ [ประเสริฐได้ด้วยปัญญา] เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสตามลำดับมรรค กิเลสที่ดับได้แล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏ์ และจะเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์

การดับกิเลส ต้องดับเป็นขั้นๆ ไม่ใช่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ทันที จะต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นอบรมสะสมปัญญาไปตามลำดับ จนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้นจนถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ คือ มัคคจิต เกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลส ตั้งแต่โสดาปัตติมัคคจิต เป็นต้นไป จนกว่ามัคคจิตขั้นสุดท้าย คือ อรหัตตมัคคจิตจะเกิดขึ้น ทำกิจดับกิเลสที่ยังเหลืออยู่ที่มัคคจิต ๓ เบื้องต้นยังดับไม่ได้ ได้จนหมดสิ้น ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นต้น พร้อมทั้งทรงแสดงถึงพระอริยสาวกในอดีตที่ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เพราะดำเนินตามทางดังกล่าว เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว เป็นผู้เห็นประโยชน์เห็นคุณค่าของพระธรรม ก็จะเป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะดำเนินทางอันประเสริฐ เพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี และ เป็นพระอรหันต์ หรือแม้แต่พระเถระและพระเถรีทั้งหลาย ในอดีต ซึ่งเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมอย่างสูงสุด ท่านได้กล่าวพรรณนาถึงพระคุณของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ว่าเป็นธรรมที่นำออกจากทุกข์ได้จริง ไว้มากมาย ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง จะได้เห็นประโยชน์และมีความตั้งใจที่จะฟังที่จะศึกษาพระธรรมแล้วน้อมประพฤติตามพระธรรม ต่อไป ประโยชน์คือความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 29 ส.ค. 2554

ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดาบัน

[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
SOAMUSA
วันที่ 30 ส.ค. 2554

กราบอนุโมทนาในธรรมทานของทุกๆ ท่านค่ะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คงต้องตระหนักกันให้มากขึ้นก่อนจะยกย่องใคร คนอวดตนแบบนี้มีมากขึ้นทุกวันค่ะ คงต้องทำใจวางเฉย หรือจะออกมาปกป้องดีหละค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันหมดกำลังใจสนใจแล้วค่ะ เพราะคนอื่นเค้าก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนกัน คนที่เดือดร้อนก็คือคนๆ นั้นต้องเจ็บตัว ติดลบที่ออกมาเดือดร้อน ถึงขั้นโดนฟ้องร้องได้ แล้วใครอยากจะเอามือซุกหีบ ทุกคนก็กลัวความเดือดร้อนทั้งนั้น ก็มองกันว่าธุระไม่ใช่ โอ้ยยยย..ปวดใจค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
aditap
วันที่ 30 ส.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ