ช่วงชีวิตของมนุษย์
ผมเคยได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวถึง ช่วงชีวิตของมนุษย์
โดยแบ่งออกเป็นช่วงละ ๑๐ ปี เร่ิมต้ังแต่ ๐ ถึง ๑๐, ๑๑ ถึง ๒๐ ไปจนถึง ๑๐๐ ปี
แต่ละช่วงนั้นท่านอธิบายว่า เป็นช่วงชีวิตที่เน้นไปในเรื่องใด
ผมไม่ทราบว่าท่านยกมาจากพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาใด
แต่เป็นการยกคำอธิบายให้ได้เตือนสติในการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี
ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านกล่าวไว้ว่า ในช่วงอายุ ๔๐ ถึง ๕๐ ปี เป็นช่วงเวลาที่ใช้ความคิดหรือปัญญามากกว่าช่วงอื่น เป็นต้น
ขออนุญาตเรียนรบกวนสอบถามข้อมูลในเรื่องนี้ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากข้อความที่ท่านผู้ถามยกมานั้น เป็นการแสดงถึงความเป็นจริง ของวัยและรูปที่มี
ความเสื่อม ไม่เที่ยงเป็นธรรมดาแต่ละวัยครับ ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเรื่องของปัญญา
พิจาณาเห็นว่ารูปในวัยนี้ก็ดับไปแล้ว ไม่ใช่วัยปัจจุบัน เป็นต้นครับ และตามที่ผู้ถาม
กล่าวว่า วัยแห่งปัญญา ความคิด คือช่วอายุ 40 - 50 ปี ถูกต้องแล้วครับ ดังข้อความใน
วิสุทธิมรรค ดังนี้
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๓ ตอน ๒ (ตอนจบ) - หน้าที่ 75 [ซอย ๑๐๐ ปี เป็น ๑๐ ส่วน] พระโยคาวจร ครั้นยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ โดยวโยวุฑฒัตถมะด้วยอำนาจวัยมีปฐม
วันเป็นต้นอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์โดยวโยวุฑฒัตถคมะ ด้วยอำนาจทสกะ ๑๐
เหล่านี้อีก คือ มันททสกะ ๑๐ ปีแห่งเด็กอ่อน (1-10)
ขิฑฑาทสกะ ๑๐ ปีแห่งการเล่น (11-20)
วัณณทสกะ ๑๐ ปีแห่งผิวพรรณ (21-30)
พลทสกะ ๑๐ ปีแห่งกำลัง (31-40)
ปัญญาทสกะ ๑๐ ปีแห่งปัญญา (41-50)
หานิทสกะ ๑๐ ปีแห่งความเสื่อม (51-60)
ปัพภารทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค้อม (61-70)
วังกทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค่อม (71-80)
โมมูหทสกะ ๑๐ ปีแห่งความหลงลืม (81-90)
สยนทสกะ ๑๐ ปีแห่งความนอน (91-100)
[ขยายความ]
ในทสกะเหล่านั้น ๑๐ เป็นแรกของบุคคลผู้มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ชื่อว่า
มันททสกะก่อน ด้วยว่าในตอนนั้น บุคคลนั้นยังเป็นเด็กอ่อนซุกซนอยู่
๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อขิฑฑาทสกะ ด้วยในตอนนั้นเขามากไปด้วยความ
ยินดีในการเล่น ๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อวัณณทสกะ ด้วยในตอนนั้น ส่วน
ผิวพรรณของเขาย่อมถังความไพบูลย์ ๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อพลทสกะ
ด้วยในตอนนั้น กำลังและเรี่ยวแรงของเขา ย่อมถึงความเต็มเปี่ยม
๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อปัญญาทสกะ ด้วยตอนนั้นปัญญาของเขาย่อมมั่น
คงดี ได้ยินว่าปัญญาแม้นิดหน่อยของคนที่โดยปกติเป็นคนโง่ ก็เกิดขึ้น
ได้ในกาลนั้นเหมือนกัน ๑ ปีต่อนั้นไป ชื่อหานิทสกะ ด้วยในตอนนั้น
ความยินดีในการเล่น ผิวพรรณ กำลัง และปัญญาของเขา ย่อมเสื่อม
ถอยไป ๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อปัพภารทสกะ ด้วยในตอนนั้นร่างกาย
ของเขาย่อมค้อมไปข้างหน้า ๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อวังกทสกะ ด้วยในตอน
นั้นร่างกายของเขาย่อมค่อมลงดุจหางไถ ๑๐ ปีต่อนั้นไป ชื่อโมมูหทสกะ
ด้วยในตอนนั้นเขาเป็นคนมักหลงลืม ย่อมลืมการที่ทำๆ แล้ว ๑๐ ปี
ต่อนั้นไป ชื่อสยนทสกะ ด้วยคนมีอายุถึง ๑๐๐ ปีก็มากไปด้วยการนอน
นั่นแล
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ฟัง ผู้ศึกษาจะได้สาระจากพระธรรมในส่วนนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน เมื่อกล่าวถึงชีวิตของแต่ละบุคคลแล้ว ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และ รูป เมื่อเกิดมาแล้ว จะดำเนินไปอย่างไร ก็เป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล แต่ก็ควรพิจารณาว่า ชีวิตไม่ได้ยืนยาวเลย เกิดในภพนี้ชาตินี้ ก็ชั่วคราว ในที่สุดแล้วก็จะต้องตาย บางคนยังไม่ถึงแก่ชรา ก็ตาย แล้ว จะเป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนมั่งมี เป็นคนยากจน ล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะความตาย ไม่มีการเกรงใจใครเลย ย่อมย่ำยีทั่วไปหมด ไม่มีเว้น แม้แต่บุคคลผู้เลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน หรือแม้แต่พระอัครสาวกผู้เลิศในทางฤทธิ์ คือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านก็ปรินิพพาน สรุปแล้ว คือ ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้ ชีวิตของเราไม่ได้ยืนยาวเลย ดังนั้น กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง คือ ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานทีเดียวในการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และที่สำคัญ กิเลสที่มีมากก็จะค่อยๆ เบาบางลงตามระดับขั้นของปัญญา (ความเข้าใจ) ที่เจริญขึ้นไปตามลำดับเป็นโอกาสที่ดีมาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และ ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความตาย ไม่มีการเกรงใจใครเลย ย่อมย่ำยีทั่วไปหมด ไม่มีเว้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นมากครับ
ชีวิต คือ อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็ตายจากโลกนี้ไป ชีวิต
แล้วชีวิตเล่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คน หรือภพภูมิอื่นๆ ก็ตาม วนเวียนอยู่ใน
สังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ไม่รู้อีกเท่าไร? ดังนั้น หากเราไม่เริ่มศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
เราก็จะไม่มีวันรู้ความจริงของชีวิต ก็ตายไปด้วยความไม่รู้ สะสมความไม่รู้อีก ชาติแล้ว
ชาติเล่า ไม่รู้ว่า จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ฟังธรรมอีกหรือไม่?