จบข่าว....?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ข่าว คือ เรื่องราวที่เกิดจากการคิดนึกของจิตที่เกิดขึ้น ดังนั้น ข่าว เรื่องราว สมมติ
บัญญัติที่เกิดขึ้นจากการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ทำให้เป็นเรื่องราว
เป็นบุคคล บุคคลนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ กำลังทำอะไร ก็เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต
เจตสิก รูปทีเกิดขึ้นนั่นเองครับ ดังนั้นเพราะมีปรมัต คือ จิต เจตสิก รูป จึงมีข่าว มีเรื่อง
ราว เพราะการคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นข่าวก็เพราะมีจิตที่คิดนึก มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย
และมีรูปที่เป็นที่อาศัยให้จิตเกิด เป็นต้น จึงทำให้มีข่าวต่างๆ นั่นคือ มีความคิดเรื่องราว
ต่างๆ มากมายในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ตราบใดที่ยังมี จิต เจตสิก รูป ยังมีสภาพธรรมที่มี
จริง ก็จะต้องมีข่าว ไม่จบข่าว เพราะยังทำให้คิดนึก ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะ
อาศัย จิตทีเกิดขึ้น คิดนึกเป็นไปต่างๆ ครับ ดังนั้นการจะจบข่าว ก็คือ ไม่มีข่าว ไม่มีการ
คิดนึกเรื่องราวทีเกิดขึ้น ก็คือ การไม่มีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นอีก เมื่อไม่มีสภาพธรรมที่มี
จริง มี จิต เป็นต้น เมื่อไม่มีจิตก็ไม่มีการคิด เมื่อไม่มีการคิด ก็ไม่มีเรื่องราว ก็จบข่าว
เพราะไม่มีเรื่องราวอีกครับ การดับจิต เจตสิก รูปไม่เกิดขึ้นอีก ก็คือการจบข่าว ข่าวจบ
นั่นเองครับ ซึ่งหนทางที่จะทำให้จบข่าว ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมทีเป็น จิต
เจตสิก รูปอีกคือ การเจริญสติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่า
เป็นธรรมไม่ใช่เราครับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรมไปเรื่อยๆ ครับ
ปัญญานั้นเองจะเริ่มเข้าใจความต่างขณะที่เป็นข่าว ที่เป็นเรื่องราว ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง กับ
ขณะที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรื่องราว และเข้าใจว่า สภาพธรรมเท่านั้นที่จริง ไม่มีสัตว์
บุคคล ก็จะถึงการดับกิเลส ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ อีกเป็นการจบข่าวครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ข่าวก็คือเรื่องราวที่ทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ถ้าจะจบข่าว ก็ต้องแสวงหาธรรมะ แสวง
หาทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จนกว่าจะสิ้นอาสวะ กิเลส
บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ตามลำดับขั้นจนถึงความเป็นพระอรหันต์ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ข่าวอื่น ในชีวิตประจำวัน ทำให้อกุศลเกิดมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของความติดข้องยินดีพอใจ หรือ ในเรื่องของความไม่พอใจ แต่ถ้าเป็นข่าว ที่ทำให้เกิดปัญญาแล้ว แล้ว เป็นข่าวที่ดี คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะต้องฟัง ต้องสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป เพราะการฟัง การศึกษาพระธรรมที่เป็นวาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่มีวันจบ [ยังไม่จบข่าว คือ ยังไม่ถึงที่สุดของการฟังพระธรรม จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังต้องฟังพระธรรม (ฟังข่าว คือ พระธรรม) เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง] ที่ฟัง ที่ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาในที่สุด ที่จะต้องไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ไม่มีข่าว ไม่ต้องมีการฟังข่าวอีกต่อไป เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง [จบข่าว]ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในเมื่อข่าวยังไม่จบ แต่จะเลือกข่าวได้ไหม และหากได้ ได้อย่างไร ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
เลือกข่าวไม่ได้ครับ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ได้ยินสิ่งต่างๆ ตามวิบาก และเมื่อได้ยิน หรือ เห็น
แล้ว ก็คิดนึกเป็นเรื่องราว เป็นข่าวเรื่องต่างๆ ตามการสะสม มาของบุคคลนั้นว่าจะคิด
เป็นเรื่องอะไร จะเป็นกุศล หรือ อกุศล ขณะที่คิดเป็นเรื่องราวของข่าวนั้นครับ แสดงถึง
ความเป็นอนัตตา ดังนั้นการเลือกข่าว การคิดเป็นเรื่องราวจึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยของ
บุคคลต่างๆ แตกต่างกันไป จึงไม่มีใครเลือก แต่สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามสภาพ
ธรรมนั้นๆ ครับ ธรรมต่างหากที่เลือก อันเป็นไปตามเหตุปัจจัยครับขออนุโมทนา
ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน
ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว และคิดนึก
คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ สัตว์ บุคคล ญาติพี่น้อง สิ่งของต่างๆ มากมาย ก็ยังเป็นข่าว
อยู่ตลอดเวลา จนกว่าปัญญาได้อบรมจนถึงพร้อมดับกิเลสหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์
ไม่ต้องเกิดมาเพื่อเห็น ได้ยิน...อีกต่อไป ก็จบข่าวแน่นอนค่ะ
เมื่อไม่มีสภาพธรรมคือ จิต เจตสิก ปรากฏเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่มีเลยแน่ๆ
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณแก่นไม้หอม ทีได้ตั้งกระทู้ดีๆ ให้พิจารณากัน
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กำปั่น คุณเผดิม และทุกๆ ท่าน ค่ะ...
ในเมื่อข่าวยังไม่จบ แต่จะเลือกข่าวได้ไหม และหากได้ ได้อย่างไร ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโทนาครับ
แม้จะเลือกไม่ได้ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย แต่อาศัยโยนิโสมนสิการในการเสพ อกุศลย่อมไม่
เกิดค่ะ
เลือกที่จะโยนิโสมนสิการและเจริญปัญญาได้หรือไม่ครับ
" เธอจงอาศัยตัณหา เพื่อละตัณหา"
เลือกที่จะให้มีตัณหา และละตัณหาได้หรือไม่ค่ะ
เรียนคุณไตรสรณคมน์ ความเห็นที่ ๑๑ ที่ว่า "เลือกที่จะให้มีตัณหา และละตัณหาได้หรือไม่"
ดูเหมือนว่าจะเลือกได้ เช่น เลือกที่จะไปเที่ยว (เพิ่มตัณหา) หรือ เลือกที่จะเข้าวัดฟังธรรม (ละตัณหา)
มีทางให้เลือกนะครับ อยู่ที่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ถ้าเป็นฝรั่งจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็น choices เสมอ
แต่สำหรับข่าวนั้น ผมเข้าใจแล้วว่า เลือกไม่ได้แน่
อย่างเช่น ตัวอย่างข้างต้น เลือกจะไปเที่ยว แต่นำ้ท่วม ก็อดไป
เลือกจะไปฟังธรรม แต่มีงานด่วน ก็อดไป
แต่เมื่อรับข่าวมาแล้ว ตรงนี้ละครับ
ผมยังไม่ชัดเจนว่า จริงๆ แล้ว ตัดสินใจหรือเลือก ที่จะติดข้องหรือไม่ติดข้องได้หรือ?
หรือจริงๆ แล้ว เลือกไม่ได้อีกเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นอะไรคือหนทางที่ทำให้เกิดการตัดสินใจ
แน่ละว่า ไม่โมหะ ก็ปัญญา สนับสนุนอยู่ จะเป็นการประลองกำลังกันหรืออย่างไรครับ
เลือกได้หรือไม่ได้ครับ?
หนทางมีอยู่ ทางที่จะให้เลือกมีอยู่ 2 ทาง คือ 1. เลือกที่จะวนเวียนอยู่ในวัฏฏ์ ยินดีในกามคุณ 5 ฯลฯ และไม่เจริญปัญญา 2. เลือกที่จะออกจากวัฏฏ์ ศึกษาธรรมะ แสวงหาปัญญา คบสัตบุรุษ เจริญสติปัฏฐาน
" เธอจงอาศัยตัณหา เพื่อละตัณหา"
ผมเคยได้ยินมาว่า ถ้าเราไม่รู้ว่าเรายึดถือหรือติดอะไรอยู่ ไม่เห็นทุกข์โทษของสิ่งนั้นด้วยปัญญา เราก็จะปล่อยหรือละได้ไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะละอะไร ละจากอะไร ละทำไม ละเพื่ออะไร และละอย่างไร
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับเลือกที่จะโยนิโสมนสิการและเจริญปัญญาได้หรือไม่ครับ
เลือกที่จะให้มีตัณหา และละตัณหาได้หรือไม่ค่ะ
............................................................
ส่วนตัวผมว่าได้ อยู่ที่การตั้งตน
อัตตสัมมาปณิธิ
คำว่า ตน ในที่นี้หมายถึงทั้งกายและจิต
อัตตสัมมาปณิธิ แปลว่า ตั้งตนไว้ชอบ คือตั้งใจใฝ่ดี การประพฤติตัวดี วางตัวดี
อัตตสัมมาปณิธิ หมายถึง การตั้งจิตไว้ในศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา การตั้งใจใฝ่ฝันในทางที่ชอบ การตั้งเป้าหมายอนาคตชีวิตที่ดีไว้ ตั้งใจมั่นคงที่จะทำสิ่งที่ดีเป็นสุจริต การปฏิบัติดำเนินไปตามที่ตั้งใจตั้งเป้าไว้โดยวิถีทางที่สุจริต เว้นวิถีทางที่เป็นทุจริต การทำตัวเหมาะสมแก่ภาวะและหน้าที่ของตน รวมไปถึงความฉลาดรู้ในการวางตัวและประมาณตัวในที่ต่างๆ เช่น ควรนั่งที่ไหน ควรทำอะไร ควรพูดอย่างไร เป็นต้น
อัตตสัมมาปณิธิ เป็น จักรธรรม คือเป็นธรรมนำพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุจล้อนำรถไปถึงที่หมาย
ขออนุโมทนา