นิพพาน ไม่ใช่รูป ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก แต่จิตรู้ได้ แล้วรู้แบบไหน
จากที่ศึกษามาแล้วว่าปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง รูป จิต เจตสิก และนิพพาน
นิพพานจึงไม่ใช่จิต เจตสิก รูป แต่จิตรู้อารมณ์นิพพานได้ สภาพธรรมที่รู้อารมณ์นี้ เป็น
อย่างไร จากการศึกษา นิพพาน เป็นนามธรรมไม่เกิดไม่ดับ ดังนั้นจิตรู้สภาวะไม่เกิดไม่
ดับ อย่างนั้นใช่ไหมหรืออย่างอื่น
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ปรมัตถธรรม ที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แบ่งเป็นามธรรมและรูปธรรม นามธรรม คือ จิต
เจตสิก และนิพพาน ส่วนรูปธรรม คือ รูป ปรมัตถธรรม จึงแบ่งเป็นจิต เจตสิก รูปและ
นิพพาน
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมด้วยครับ แต่ไม่ใช่นามธรรมแบบจิต เจตสิก
เพราะนามธรรมที่เป็นจิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่ยังมีเหตุปัจจัยปรุง
แต่ง เป็นสังขารธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป จิต เจตสิก เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์ แต่
นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ไม่เกิดขึ้นและดับไป ต่างกับ จิต
เจตสิก และนิพพาน เป็นนามธรรมแต่ไม่เกิดขึ้นและดับไป และไม่รู้อารมณ์ คือ ไม่ใช่
สภาพรู้ ครับ จึงเป็นนามธรรมพิเศษ ดังนั้นเราจะต้องแยกระหว่างนามธรรมที่เป็นพระ
นิพพาน กับ นามธรรมที่เป็นจิต เจตสิก ครับ คือเป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ไม่มีปัจจัย
ปรุงแต่ง เป็นพระนิพพาน กับ นามธรรมที่รูอามรณ์ มีปัจจัยปรุแต่ง เกิดขึ้นและดับไป
เป็น จิต เจตสิกครับ นิพพานแม้ไม่ใช่สภาพธรรมที่รู้อารมณ์ แต่เป็นสภาพธรรมที่ถูกรู้
คือ เป็นอารมณ์ได้ เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกได้ครับ จิตและเจตสิก เป็นสภาพ
ธรรมที่รู้ จึงสามารถรู้สภาพธรรมทุกๆ อย่าง รู้แม้พระนิพพานด้วยครับ จิตและเจตสิกก็
สามารถรู้พระนิพพานได้ครับ ดังนั้นนิพพานไม่ใช่สภาพรู้ แต่เป็นอารมณ์ หรือ เป็นสิ่งที่
ถูก จิตและเจตสิกรู้ได้ครับ
สรุปคือ จิตสามารถรู้พระนิพพานได้ โดยการเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก คือ เป็น
สิ่งที่ถูกจิตรู้ครับ เช่น จิตประเภท มรรคจิต ผลจิต จะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นสิ่ง
ที่ถูกจิตรู้ครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ ปุถุชนยังไม่ไปถึงพระนิพพาน
นอกจากอบรมเหตุ คือการเจริญอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ทำให้ข้าม
พ้นจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคลได้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ ท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระินิพพาน
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริง ๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึนอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระนิพพาน มีจริง เป็นนามธรรม ไม่ใ่ช่รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่พระอริยบุคคลเท่านั้น ที่จะประจักษ์แจ้งได้ เพราะในขณะที่มัคคจิต และ ผลจิตเกิดขึ้นนั้น จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ย่อมรู้อารมณ์เดียวกันทั้งหมด คือ รู้พระินิพพาน ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณครับ
ขอถามเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งครับ มีผู้กล่าวว่า ถ้าบุคคลนั้นยังไม่ตาย (นิพพาน) ถ้าจิตเป็นฌาณจิตขั้นที่ 4 จิตสะอาด ไม่ติดในขันธ์ 5 สามารถมีอารมณ์นิพพานสัมผัสด้วยทางมโนมยิทธิ ซึ่งจะรับรู้อารมณ์ที่สงบ เยือกเย็น มีกล่าวในพระไตรปิฎกไหมครับ หรือกล่าวเป็นอย่างอื่น
พระอริยบุคคลเท่านั้นค่ะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ในขณะแห่งมรรคจิตและผลจิต แต่
หลังจากนั้น หากท่านเป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ (ไม่ว่าจะเป็นขั้นใดก็ตาม) ท่านสามารถ
เจริญฌานโดยมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้อีก คือการเข้า "ผลสมาบัติ" เป็นโลกุตรฌาน
ส่วนมโนมยิทธิคือ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ (สามารถนิรมิตกายได้) เป็นเรื่องของ
สมถภาวนาสำหรับผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ ค่ะ