กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
"กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิเลสก็เกิดแล้วได้ครับ"
1 หมายถึงกิเลสละเอียดใช่ไหมครับ หรือกิเลสหยาบเิกิดได้โดยไม่ต้องนึกคิด
ถึงสิ่งใด
2 กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็สามารถรู้ได้ขึ้น
เรื่อยๆ หากสติเจริญขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหมครับ คือว่ากิเลสที่ไม่รู้ ก็ค่อยๆ ปรากฏให้รู้
ใช่ไหมครับ
3 กิเลสเกิดก็รู้แต่ไม่รู้วาเป็นกิเลสมีไหมครับ
4 สิ่งใดที่ไม่ใช่กิเลส เกิดแล้ว รู้ และ/หรือ ไม่รู้มีไหมครับ
ผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปก็ขออภัยด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย "กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิเลสก็เกิดแล้วได้ครับ"
1. หมายถึงกิเลสละเอียดใช่ไหมครับ หรือกิเลสหยาบเิกิดได้โดยไม่ต้องนึกคิดถึงสิ่งใด
กิเลสละเอียดที่เป็นอนุสัยยังไม่เกิดขึ้นครับ แต่เป็นเชื้อเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ซึ่งกิเลส
เกิดขึ้นยังไม่ล่วงออกมาทางกายและวาจา เป็นปริยุฏฐานกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจ เช่น เกิด
โลภะ ยินดีพอใจ แต่ไม่แสดงออกมาทางกาย วาจา โกรธ แต่ไมแสดงออกมาทางกาย
วาจา แต่กิเลสเกิดแล้ว ซึ่งคำกล่าวที่ว่า
กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิเลสก็เกิดแล้วได้ครับ
หมายถึง กิเลสที่เป็นปริยุฏฐานกิเลส ทีเป็นโลภะเกิดขึ้น ติดข้องแล้ว แม้เพียง สี ยัง
ไม่เห็นเป็น ต้นไม้ ผู้หญิง รถยนต์ แต่เพียงแค่เห็นสี กิเลสก็เกิดได้แล้วครับ ติดข้องใน
สีนั้น ไม่พอใจในสีนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยครับ และเมื่อเห็นสี มโนทวารรับต่อและก็คิดนึก
เป็นรูปร่าง สัณฐาน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎในขณะนี้ว่ามีสิ่งต่างๆ ซึ่ง
เรามักคิดว่า เราติดข้องในคนนั้น สิ่งนั้น สิ่งนี้ ซึ่งในความเป็นจริง กิเลสไม่ได้เกิดเพียง
เห็นเป็นสิ่งหนึ่งใดแล้ว แม้เพียงไมได้คิดเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เพียงปัญจทวาร เห็นเพียง
สี ชวนจิตเกิดต่อ เป็นอกุศลแล้ว ติดข้อง หรือ ไม่พอใจ โดยไม่รู้ตัว เร็วมากครับ จึงเป็น
ที่มาของคำว่า
กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิเลสก็เกิดแล้วได้ครับ
2 กิเลสเกิดได้ แม้ยังไม่ได้คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็สามารถรู้ได้ขึ้น เรื่อยๆ หาก
สติเจริญขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหมครับ คือว่ากิเลสที่ไม่รู้ ก็ค่อยๆ ปรากฏให้รู้ใช่ไหมครับ
ถูกต้องครับ เมื่อปัญญาละเอียดและคมกล้ามากขึ้น ก็สามารถรู้กิเลสที่ไม่เคยปรากฏ
ให้รู้มาก่อน เพราะถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ แต่เมื่อปัญญาคมกล้า ก็จะเห็นกิเลส คือ รู้
ลักษณะของกิเลสที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ครับ และแม้กิเลสทีเกดในขณะที่ยังไม่
เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เช่น เห็นเพียง สี กิเลสก็เกิดต่อ ปัญญาหากคมกล้ามากก็
สามารถรู้ว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้วและรู้ว่าเป็นกิเลสเป็นธรรมไม่ใช่เราที่มีกิเลสครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
3. กิเลสเกิดก็รู้แต่ไม่รู้วาเป็นกิเลสมีไหมครับ
กิเลสเกิดก็รู้ คำว่ารู้ในที่นี้มีหลายระดับ ตามระดับของปัญญาครับ รู้ด้วยการคิดนึกว่า
กิเลสเิกิด เช่น เวลาโกรธแรงๆ ก็รู้ว่าโกรธ แต่เป็นการรู้ด้วยความเป็นเรา ไม่ได้รู้ตรง
ลักษณะของกิเลสทีเกิดจริงๆ จึงไม่ใช่รู้จักกิเลสจริงๆ ครับ ดังนั้นจึงไม่รู้ลักษณะของ
กิเลส และไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เป็นเราที่มีกิเลสนั่นเองครับ ซึ่งไม่ใช่หนทางในการอบรม
ปัญญา เพราะหนทางที่ถูกคือ รู้ว่าเป็นธรรม แม้กิเลสทีเกิดขึ้น โดยรู้ลักษณะของกิเลส
นั่นเองครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
4. สิ่งใดที่ไม่ใช่กิเลส เกิดแล้ว รู้ และ/หรือ ไม่รู้มีไหมครับ
สภาพธรรมมีหลากหลายครับ ไม่ใช่มีเฉพาะกิเลสเท่านั้น กุศลก็มี ที่เป็นสภาพธรรม
ฝ่ายดี วิบากทีเป็นผลของกรรมที่เป็นจิต และเจตสิกก็มีครับ ดังนั้น สิ่งใดที่ไม่ใช่กิเลส
ที่เป็นอกุศล คือ วิบาก หรือ กุศล ก็มี เมื่อสภาพธรรมเหล่านี้เกิด ก็ไม่รู้ว่า็เป็นธรรมโดย
ส่วนมากครับ เพราะมีความไม่รู้ปิดปัง ต่อเมื่อมีการเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของ
ผลของกรรม เช่น การเห็น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ระลึกรู้ กุศลจิตทีเกิดขึ้นว่าเป็นธรรม
ไม่ใช่เรา การรู้อย่างนั้นจึงเป็นการรู้สิ่งที่ไม่ใช่กิเลสตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ที่เป็น
สติปัฏฐานครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น -เพราะยังมีพืชเชื้อของกิเลส ซึงเป็นกิเลสอย่างละเอียด จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กิเลสในระดับต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ทั้งที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต เช่น ติดข้องยินดีพอใจ หรือ โกรธขุ่นเคืองใจ โดยที่ยังไม่ได้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ แต่เมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็ล่วงเป็นทุจริตกรรม ปรากฏเป็นกิเลสอย่างหยาบ แต่ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว เป็นสภาพธรรมที่หยาบคาย ร้ายแรง เป็นสิ่งที่จะต้องละ ท่านเปรียบเหมือนกับลูกศรอาบยาพิษ เป็นโทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น จะเห็นได้ว่ากิเลสเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็เกิดได้ เพราะอกุศลจิต เกิดได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ เกิดทางใจได้ด้วย -ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิต เกิดขึ้นมาก เกิดขึ้นบ่อยกว่ากุศลจิต กล่าวได้ว่า กุศลจิต เกิดแทรกคั่นท่ามกลางอกุศล ซึ่งมีมาก ก็ได้ แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ไหลไปอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจของกิเลสซึ่งเป็นอกุศลธรรม ขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น ประกอบด้วยกิเลสประการต่างๆ ตามควรแก่อกุศลจิตประเภทนั้นๆ ซึ่งถ้าสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจอย่างถูกต้องว่ากิเลสมีมากจริงๆ และเพิ่มพูนความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย จนกว่าปัญญาจะคมกล้า สามารถดับได้ในที่สุด -ถึงแม้ว่ากิเลสจะมีมาก สะสมมามากเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีกำลังเท่ากับฝ่ายของกุศล เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม เท่านั้นที่จะดับกิเลสซึ่งเป็นอกุศลธรรม ได้ เมื่อถึงในขณะที่เป็นมัคคจิต กิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ก็จะถูกดับ ตามสมควรแก่มรรค กิเลสที่ถูกดับแล้ว จะไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งจะต้องอาศัยการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เพราะผู้อบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้ได้ว่า ตนเองเต็มไปด้วยกิเลส ที่จะต้องขัดเกลาให้เบาบางต่อไป -เมื่อมีความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นว่า สภาพธรรมมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ นามธรรม และ รูปธรรม นามธรรมเป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ กล่าวคือ จิต และ เจตสิก จิตและเจตสิกเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ ขึ้นอยู่กับว่า จะเป็นจิตประเภทใด แม้แต่ในขณะที่เป็นอกุศลจิต (จิตที่เป็นอกุศล ประกอบด้วยกิเลสประการ ต่างๆ ) ก็ต้องรู้อารมณ์ เช่น เห็นแล้ว ติดข้อง เป็นต้น ส่วนสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมใดๆ ก็ตาม ล้วนเป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะตามความเป็นจริงได้ แต่ต้องเป็นผู้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น ไม่ขาดการฟังเรื่องของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...