ตายแล้วไปไหน ไปสวรรค์หรือนรกดีจ๊ะ
ตายแล้วไปสวรรค์หรือนรกดีจ๊ะ
สัตว์โลกที่ยังมีกิเลส เป็นปุถุชน ยังมีคติ คือ ที่ไปไม่แน่นอน คือ สามารถไปอบายภูมิ มีนรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายได้ครับ ตราบใดที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล แต่เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ย่อมีคติที่แน่นอน คือ ไปสุคติ จะไม่ไปทุคติ หรืออบายภูมิเลยครับ ซึ่งการจะไปที่ดี คติที่ดี ก็ต้องเป็นเพราะผลของกุศลกรรมที่ทำมา และการจะไปที่ไม่ดี มีนรกเป็นต้น ก็เพราะเกิดจากอกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้ว ซึ่งในความเป็นปุถุชน ย่อมทำอกุศลกรรมมามากมาย และก็อาจจะมีการทำกุศลกรรมบ้าง แต่เมื่อจะต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีใครรู้ได้เลยว่ากรรมใดที่จะให้ผล คือ กรรมดีจะให้ผล หรือ กรรมไม่ดีจะให้ผล ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าจะไปนรก หรือ ไปสวรรค์ครับ เปรียบเหมือนการโยนกิ่งไม้ขึ้นไปในอากาศ บางคราว ส่วนปลายก็ตกลงมากระทบพื้นก่อน บาง คราวส่วนต้นก็ตกลงมากระทบพื้นก่อนครับ หรือบางคราวส่วนกลางก็ตกลงมากระทบพื้นก่อนครับ ไม่แน่นอนเลย การไปเกิดของปุถุชนก็เช่นกัน ไม่มีความแน่นอนเลย แสดงถึงความเป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ว่าจะได้เกิดเป็นอะไรเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ที่สำคัญเมื่อรู้แล้วครับว่า จะต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน ประโยชน์คือ มีชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยการทำความดี ทำที่พึ่งกับ ตน คือ การอบรมเจริญปัญญา เพราะสิ่งที่จะติดตัวและนำมาซึ่งสิ่งที่ดีในอนาคตได้ และไปเกิด ในภพภูมิที่ดี คือ กุศลกรรมครับ ชีวิตในสังสารวัฏฏ์ต้องเดินทางไกล ผู้มีปัญญาจึงสะสมเสบียง ในการเดินทาง คือ การเจริญกุศล และที่สำคัญ ทำที่พึ่งของตนและเพื่อที่จะพ้นจากการเกิดใน ที่ต่างๆ อันนำมาซึ่งความทุกข์ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ในภพนี้ชาตินี้, เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่ สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และ ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไป กรรมดีให้ผลย่อมเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ ตามควรแก่เหตุ (คือกรรม) ในทางตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่วไว้ (ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เมื่อกรรมชั่วนั้นให้ผลย่อมเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉานสรุปแล้วคือเกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไป อย่างไม่ขาดสาย แต่จะเกิดเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นสำคัญส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ตายแล้วไปไหนก็ไปตามกรรมที่ทำไว้ อย่างเช่น คนทีเจริญกุศลเป็นประจำ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม ภพภูมิที่ดีคือสุคติภูมิก็รอแล้วอยู่ข้างหน้า ตรงกันข้าม ถ้าทำชั่ว ไม่ รักษาศีล ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดโกหก ผิดประเวณี ดื่มสุรา อบายภูมิก็รอแล้ว อยู่ข้างหน้า เช่นกันค่ะ
เมื่อตายแล้วก็เกิดทันที แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นแล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผล ซึ่งไม่สามารถทราบได้เลย แม้ว่าในชาตินี้คิดว่ามีกุศลกรรมมากแล้ว แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าได้ทำกรรมอะไรไว้บ้างที่ผ่านมาในสังสารวัฏฏ์ จึงไม่ควรประมาททั้งในกุศลและอกุศล, อกุศลเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง และกุศลแม้เล็กน้อยก็เป็นสิ่งที่ควรเจริญ และการอบรมเจิรญปัญญาด้วยการศึกษาพระธรรม จะเป็นกุศลสูงสุดที่ทำให้พ้นจากการเกิดได้ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนานกุศลจิตของทุกท่านค่ะขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)