รับสมัครใจทำงาน [งานละกิเลส ... ตอนที่ ๓ จบ]
เมื่อสมัครใจทำงาน จะเป็นเพียงผู้ที่ทำดี และเข้าใจธรรมนั้น ยังไม่พอ เพราะยังมีงาน ที่ใหญ่ คืองานละกิเลส ขณะที่โลกุตตรจิตและเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจละกิเลสหมดสิ้นเป็น สมุจเฉทถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นถึงจะเสร็จกิจการงาน เพราะฉะนั้น ทุกคนมี งานที่ใหญ่ที่ต้องทำให้เสร็จ คืองานละกิเลส กิเลสมีมากค่อยๆ ละแม้จะนานสักแค่ไหน ก็อดทนไม่ท้อ เพราะในอดีตมีผู้เสร็จกิจ ทำงานใหญ่นี้มาแล้วเป็นจำนวนมาก ท่านไม่ ต้องเกิดในภพต่อไปที่จะทำงานอีก จึงควรที่จะเริ่มงานละกิเลสและสิ่งแรกที่ควรละ คือ ละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน โลภ โกรธ พยาบาท ... ทุก อย่างที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เป็น เพียงธรรมอย่างหนึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เพราะความไม่รู้จึงยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา
เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ แล้วก็ติดข้องในนิมิตอนุพยัญชนะ..อกุศลต่างๆ จึงเกิดขึ้นสะสม ไว้มากมาย ตั้งแต่เกิดมามีแต่ความไม่รู้ ทำแต่งานที่เพิ่มกิเลส เมื่อโตขึ้นมางานในชีวิต ประจำวันก็เป็นงานหนักเพื่อให้ตนและคนรอบข้างมีชีวิตที่ดี ก็ทำแต่งานเพิ่มกิเลสอกุศล พื่อลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีสักวันที่ทำงานละกิเลสเลย จึงต้องเกิดภพแล้วภพเล่าทำแต่ งานเพิ่มกิเลสต่อไป ดังนั้นงานที่จะละกิเลสจึงสำคัญที่สุดกว่างานใดๆ ที่ทำอยู่ และใน ชาติที่สามารถจะสมัครใจทำงานละกิเลสได้ก็ควรที่จะอดทนค่อยๆ สะสมการงานที่ใหญ่ หลวงที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นงานยาก แต่ทำได้แน่ๆ ถ้ามีขันติ และบารมีอื่นๆ และมี ศรัทธาที่จะทำและต้องทำไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดว่าเสร็จเมื่อไหร แต่ก็ทำ เพราะศรัทธา
แล้วท่านคิดว่าจะทำกิจที่คิดว่าสำคัญในชีวิตต่อไป หรือทำงานที่ใหญ่ คือ การละกิเลส
ขออนุโมทนาค่ะ ...
"สิ่งแรกที่ควรละ คือ ละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน โลภ โกรธ พยาบาท ... ทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ...
... ในชาติที่สามารถจะสมัครใจทำงานละกิเลสได้ ก็ควรที่จะอดทน ค่อยๆ สะสมการงานที่ใหญ่หลวงที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นงานยาก
แต่ทำได้แน่ๆ ถ้ามี ขันติ และบารมีอื่นๆ และมีศรัทธา"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตนะคะพี่เมตตา