ขอความช่วยเหลือในการปล่อยวางหน่อยครับ
ตอนนี้มีความทุกข์มากๆ มีความอาลัยอาวรต่อสิ่งที่พลัดพรากจากไปอย่าไม่กลับมา ซึ่งรู้ว่าการทำแบบนี้สุดท้ายคนที่เป็นทุกข์คือตัวเราเอง แต่เวลานึกถึงเขาใจก็ยังไปผูกจิตอยู่ ตัดไม่ได้เสียที ควรทำอย่างไรดีครับ และมีวิธีแก้ไขอะไรบ้างไหม เพราะอึดอัดมากหาทางออกไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถเป็นที่พึ่งได้อีกแล้ว นอกจากธรรมมะนี้ควรต้องทำอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เข้าใจถึงความเป็นธรรมดาในความทุกข์ทีเ่กิดขึ้นครับ ทุกคนที่ยังมีกิเลส ก็ต้องมีทุกข์ เป็นธรรมดา เมื่อมีการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ผู้ที่จะไม่ทุกข์ มไม่ร้องไห้ เสียใจคือพระอนาคามี แม้พระโสดาบันก็ยังเสียใจ ร้องไห้กับการพลัดพรากจากสิ่งทีเ่ป็นที่รักเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน เพียงแต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งทีเ่กิดขึ้นแล้ว คือ ทุกข์ใจทีเ่กิดขึ้น ว่ามีเหตุมาจากความติดข้อง โลภะเป็นสำคัญ และพิจารณาตามความเป็นจริงว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครเป็นใหญ่ในสภาพธรรมใดกับบุคลใด การจากไป พลัดพรากจากกันจึงเป็นของธรรมดาบนโลกนี้ เมื่อได้คบเป็นมิตร หรือ รู้จักกับใครนั่นคือ นับถอยหลังวันที่จะต้องกันไปแล้ว ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายครับ เมื่อค่อยๆ พิจารณา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่าธรรมดาทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อปัญญายังน้อยก็ต้องเศร้าใจ เสียใจอยู่ แม้จะพิจารณาอย่างไรเพราะพิจารณาไม่ไ่ด้ตลอดเวลา อันเป็นไปตามกำลังของปัญญานั่นเอง แต่เมื่อทุกข์แล้ว ก็แบ่งเวลาทำในสิ่งที่มีประโยชน์ คือ การทำกุศลประการต่างๆ ให้เวลาที่ผ่านไปบางขณะอันแทนที่จะทุกข์ ก็ทำกุศล ฆ่าเวลากับสิ่งที่ดีครับ มีการฟังพระธรรมบ้าง ทำกุศลประการต่างๆ บ้างและสอบถาม สนทนาในเวป ได้อ่านได้เข้าใจในสิ่งที่ถาม ก็เป็นประโยชน์ ที่ไม่ได้ทุกข์ตลอดเวลาและได้แบ่งเวลาให้กับสิ่งที่มีค่าครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปจัดการให้ไม่ให้ทุกข์หรือไม่คิดเรื่องนั้น คงเป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยเวลา แต่แบ่งเวลาให้กับสิ่งที่ดีบ้าง ก็นับว่ากระทำในสิ่งทีเ่หมาะสมและแก้ทุกข์ด้วยวิธีที่ถูกต้องแล้วครับ
ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้ด้วยพระธรรมครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบคุณมากๆ เลยครับ ขอบคุณจากใจจริงๆ คำตอบนี้ อ่านแล้วน้ำตาเกือบไหลเลยครับขอบคุณที่ให้ความคิดดีๆ วันเวลาต่อจากนี้ จะพยายามเข้าใจถึงความเป็นไปของโลกนี้
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ที่ยังมีความเศร้าโศกอยู่นั้น ก็เพราะยังมีกิเลส ยังมีความติดข้อง ยินดีพอใจ ยังมีอวิชชา (ความหลง ความไม่รู้) อยู่ จึงต้องมีความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งที่พลัดพรากจากไป เป็นธรรมดา แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ย่อมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสามารถที่จะละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด ขณะที่กุศลจิต เกิด ย่อมไม่เศร้าโศกเสียใจ เพราะขณะที่เศร้าโศกเสียใจ เป็นอกุศลจิต ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง แ้ล้วความเข้าใจพระธรรมจะมาจากไหน ถ้าไม่เริ่มสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกจากการฟัง การศึกษาพระธรรม ตั้งแต่ในขณะนี้ ความเศร้าโศกเสียใจ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาทันที เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด และเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึงต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...