สัมโพธสูตรที่ ๒ - อะไรเป็นที่พึ่งที่แท้จริง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 15
สัมโพธสูตรที่ ๒
ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งคุณแห่งอายตนะภายนอก ๖ เหล่านี้ โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ และซึ่งความสลัดออก โดยเป็นความสลัดออก อย่างนี้ เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้ ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เพียงนั้น.
เมื่อใด เราได้รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งคุณแห่งอายตนะภายนอก ๖ เหล่านี้ โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ และซึ่งความสลัดออกโดยเป็นความ สลัดออกอย่างนี้ เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแล้ว แก่เราว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี
จบ สัมโพธสูตรที่ ๒
การมีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือ พึ่งพระปัญญาตรัสรู้ของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้อะไร ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ทรงรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ สภาพธรรมเหล่านี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ก็มีจริงปรากฏการเกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา และด้วยความไม่รู้ สัตว์โลกจึงยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง เพราะฉะนั้นการที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะพึ่งได้จริงๆ ก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พ้นจากขณะนี้มีเห็น มีได้ยิน และคิดนึก เป็นสิ่งเดียวที่พุทธบริษัทจะพึ่งได้จริงๆ จึงควรที่จะตั้งใจฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง สิ่งอื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทอง พ่อ แม่ ญาติสนิทมิตรสหาย ไม่สามารถติดตามไปในภพหน้าได้เลย เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครที่จะนำเอาทรัพย์สมบัติติดตามไปได้ จะเห็นได้จากบรรพบุรุษของตัวเราเองก็ได้ ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่
แต่สิ่งที่จะสะสมติดตาม เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในภพข้างหน้าได้ ก็คือ กุศลธรรมที่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะสมบูรณ์เมื่อมัคคจิต ผลจิต เกิดขึ้น ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดอีกเลย แล้วอะไรดับกิเลสได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ซึ่งเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง
ขออนุโมทนาค่ะ...
เมื่อพิจารณาดูแล้วก็ไม่มีอะไรในโลกที่จะตั้งมั่นดำรงคงที่ไม่แปรปรวนและให้ความสุขได้ตลอดกาลเลยสักอย่างเดียว แต่ความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนเท่านั้นที่เป็นสาระ เพราะย่อมจะประคับประคองและอุปการะให้ดำเนินชีวิตในทางที่ดีงาม และเป็นบุญกุศลยิ่งๆ ขึ้น เรื่อยๆ ไป
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่เมตตาค่ะ