เวลาอุทิศบุญ...?
เวลาทำอุทิศบุญให้กับผู้ล่วงลับ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเค้าอนุโมทนาบุญกับเรา
หรือไม่แต่ทุกครั้งที่่อุทิศบุญ รู้สึกได้ว่ามีความสุขใจ มีความโล่งอกสบายใจ
นั้นหมายความว่าเค้าได้รับหรือไม่ครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กุศลเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส เมื่อเกิดขึ้น ขณะที่มีจิตคิดอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น ขณะ
นั้นจิตเป็นกุศล ผ่องใส มีความเมตตา หวังดีในขณะนั้น ย่อมสามารถเกิดความสุข ปิติ
โสมนัสกับจิตของตนเองที่อุทิศส่วนกุศลให้ครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเกิดความ
สุข โสมนัส โล่งใจ สบายใจอันเกิดจากกุศลจิตของตนเองแล้ว จะหมายความว่า สัตว์
หรือ ญาตินั้นได้รับอุทิศแล้วครับ อันนี้ไม่ใช่ครับ ซึ่งการได้รับส่วนกุศลของญาติ คือ
กุศลของญาติเอง หรือ เปรตเองครับที่เกิดจิตเป็นกุศล ผ่องใสที่อนุโมทนาบุญที่ญาติ
อุทิศให้ครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับความโล่งใจสบายใจของผู้อุทิศ จะหมายถึงญาติ
หรือเปรตได้รับครับ ความสบายใจ โล่งใจ สุขใจที่เกิดจากกุศลของใครก็ของคนนั้นไม่
เกี่ยวกันครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การอุทิศกุศล เป็นการกระทำกุศลอีกประการหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้กระทำกุศลไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล หรือแม้กระทั่งเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็มีกุศลจิตที่จะอุทิศเพื่อประโยชน์แก่การอนุโมทนาของผู้อื่น เวลาที่เราทำกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่น นั้น ไม่ใช่เป็นการที่บุคคลอื่นรับเอากุศลของเราไป ไม่ใช่เป็นแบบในลักษณะของการส่งพัสดุไปรษณีย์ แต่เป็นในลักษณะที่เมื่อผู้อื่นรู้และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา ซึ่งเป็นกุศลของบุคคลนั้นเอง จิตที่เกิดขึ้น ชื่นชมยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำนั้น เป็นกุศลจิต จึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปกังวลหรือไปคิดว่าเขาจะได้รับหรือไม่ได้รับ สำคัญอยู่ที่ เขาอนุโมทนาหรือไม่อนุโมทนา เท่านั้น ถ้าเขาไม่อนุโมทนา ก็เป็นเรื่องของเขา คือ ไม่เกิดกุศล แต่ถ้าเป็นปัจจัยให้กุศลจิตของเขาเกิดอนุโมทนาเมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นกุศลของเขา ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
1 แล้วถ้าเขาไม่อนุโมทนา หรือ อยู่ในสถานะที่อนุโมทนาไม่ได้ บุญที่เราทำให้เขายังคงอยู่กับเขาหรือไม่ครับ 2 ถ้าบุญอยู่จะแสดงผลได้ตอนไหน
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
จากข้อที่ 1 ที่ถามนั้น ก็มีชาณุโสณีพราหมณ์ถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้าว่า ถ้าญาติไม่
อนุโมทนา และไม่ไ่ด้รับ บุญนั้นจะเป็นของใคร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ก็เป็นบุญของ
บุคคลที่อุทิศให้นั่นเองครับ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพราะบุญสำเร็จแล้ว ด้วยเจตนาที่
อุทิศในขณะนั้นครับ
จากข้อ 2 บุญจะให้ผลเมื่อปัจจัยพร้อมครับ คือ เมื่อถึงความสุกงอม บุญก็ให้ผล ทำให้
เกิดในที่ที่ดีๆ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี อันเกิดจากผลของกรรมที่ดี คือ การอุทิศ่วน
กุศลให้ครับ
1 แล้วถ้าเขาไม่อนุโมทนา หรือ อยู่ในสถานะที่อนุโมทนาไม่ได้ บุญที่เราทำให้เขายังคงอยู่กับเขาหรือไม่ครับ 2 ถ้าบุญอยู่จะแสดงผลได้ตอนไหน
๑. บุญ อยู่ที่สภาพจิต ขณะที่เราได้กระทำกุศลใดๆ แล้ว อุทิศเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
ได้รับรู้และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา ขณะที่อุทิศ นั้น เป็นกุศลจิตของเรา ซึ่งถ้าผู้อื่นไม่
อนุโมทนา ก็เป็นเรื่องของผู้นั้น แต่กุศลที่เกิดจากการอุทิศของเรานั้น ไม่ไร้ผล คือ
เป็นกุศลของเรา ที่สะสมสืบต่ออยู่ในจิต และถ้ามีโอกาสให้ผล ก็ให้ผลได้เป็นกุศล-
วิบาก
๒. การอุทิศส่วนกุศล ไม่ใช่เป็นการหยิบยื่นกุศล (หรือบุญ) ของเราไปให้ผู้อื่น แต่เป็น
กุศลเจตนาของเรา ซึ่งเมื่อได้เจริญกุศลประการต่างๆ แล้ว อุทิศ เพื่อประโยชน์แก่
การอนุโมทนาของผู้อื่น ถ้าผู้อื่นไม่อนุโมทนา กุศลจิตของเขาก็ไม่เกิดขึ้น บุญไม่
เกิด เมื่อบุญไม่เกิด ก็ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ผลที่ดีเกิดขึ้นได้เลย ครับ
การอุทิศส่วนกุศลนั้น หลายคนอาจคิดไปว่าบุญกุศลนั้น หายไปกับการอุทิศหรือไม่
อุปมาอุปไมย เหมือนดังจุดใต้ฉันใด แล้วนำไฟจากใต้นั้นไปจุดอีกอันหนึ่ง ใต้อันนั้น
ก็จะติดไฟอันต่ออันไปเรื่อยๆ โดยที่ใต้อันแรกก็ยังคงมีไฟอยู่เหมือนเดิม ไฟไมได้ดับ
หรือหายไปไหนฉันนั้น
จำมาอีกที่หนึ่ง จำที่มาไม่ได้ครับ
การทำบุญนั้น
๑. ต้องไม่หวังผลตอบแทน (ถ้าหวังแสดงว่ายังมีความอยากอยู่)
๒. อย่าลืมว่าบุญกับกุศล คนละความหมายกัน
๒.๒ บุญ - ความสดชื่น ใจบาน ใจฟู เบิกบาน (ยังเป็นกิเลสอยู่)
๒.๓ กุศล - การแผ้วถาง (หมายถึงแผ้วถางกิเลส)
๓. การปฏิบัติบูชา อย่าปฏิบัติธรรมโดยการท่องจำ (พูดได้ดี หรือได้เก่ง) เพียงอย่างเดียวหากแต่การหมั่นอบรมจิต สติสัมปชัญญะเป็นเบื้องต้น หรือ ทาน ศิล ภาวนา ให้มั่น