อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ

 
samroang69
วันที่  17 ก.ย. 2554
หมายเลข  19747
อ่าน  17,947

อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ

การแสดงเทศนา เรื่องพระเวสสันดรชาดก ตามธรรมเนียมประเพณีที่เคยปฏิบัติกัน สืบมามีทั้งหมดพันพระคาถา พระโบราณาจารย์ได้แสดงถึงอานิสงส์ การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์ทั้ง 13 กัณฑ์ เป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้

1. เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วจะได้พบพระศรีอาริย์พุทธเจ้าในอนาคต

2. เมื่อดับขันธ์จะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติอันมโหฬาร

3. จักไม่ตกนรก เมื่อตายไปแล้ว

4. เมื่อถึงพุทธกาลพระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดา จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์

5. ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา ก็จักได้บรรลุมรรคผล นิพพานเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

ผมอยากทราบว่าคำกล่าวดังที่ได้ว่ามานี้มีให้เห็นตามเว็บไซน์ ทั่วไปอยากทราบว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงได้ และมีอุบายอย่างไรจึงจะได้ตามที่ว่ามานี้ครับ หรือไม่อาจเป็นไปได้เลยตามที่กล่าวมาครับช่วยตอบให้หน่อยครับ

ขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ควรเข้าใจครับว่า เหตุที่ดีมี คือ กุศลจิต และกุศลรรม เหตุที่ไม่ดีก็มี คือ อกุศลจิตและอกุศลกรรม กุศลกรรมเมื่อกระทำแล้ว เมื่อให้ผลก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี เช่น เกิดในภพภูมิที่ดีได้พบสิ่งที่ดีๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กุศลกรรมแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ แบ่งเป็นใหญ่คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเรื่องการฟังพระธรรมก็เป็นกุศลประการหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการครับ

ซึ่งจากคำที่กล่าวมานั้นที่ว่า เมื่อฟังเทศน์มหาฃาติจบวันเดียวครบ ๑๓ กัณฑ์จะได้อานิสงส์ประการต่างๆ นั้น เรียนว่าไม่เป็นไปตามอย่างนั้น อย่างที่เข้าใจกันครับ เช่น ประเด็นการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย์ ไม่มีใครทราบนอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นว่า เพราะผลของกรรมนี้จะทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ และพยากรณ์ว่าจะได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเพราะกรรมนี้ กรรมจึงไม่จำเพาะเจาะจงไปครับว่า หากฟังเทศน์มหาชาติครบ วันเดียว จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย์ไม่ใช่ครับ เพราะในความเป็นจริง ก่อนจะถึงสมัยนั้นเราไม่รู้เลยว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน และอาจจะทำอนันตริยกรรมก่อนก็ได้ในชาติต่อๆ ไป เพราะยังเป็นปุถุชน เมื่อทำอนันตริยกรรมแล้วก็ต้องตกนรกตลอด 1 กัปก็เป็นอันว่าไมได้เจอพระศรีอริยเมตไตรย์แน่นอน เพราะพระองค์อุบัติในกัปนี้

นี่แสดงให้เห็นว่า การจะเิดกในสมัยใดแล้วแต่กรรมใดจะให้ผล และที่สำคัญก็มีหลายเหตุปัจจัยต่างๆ มากมายกว่าจะถึงตรงนั้น จึงไม่สามารถไปกำนหดได้เลยว่า เพราะฟังบทนี้เลยจะทำให้ได้ไปเกิดในสมัยนั้นครับ

ประเด็นที่ 2 เมื่อตายจากโลกนี้จะไปเกิดในสวรรค์ เพราะได้ฟังเทศน์มหาชาติ อันนี้ก็กำหนดไม่ได้อีกเช่นกันครับ เพราะเมื่อเป็นปุถุชน คติไม่แน่นอน สามารถไปอบายภูมิได้ครับ และก็ไม่รู้เลยว่ากรรมดี หรือ กรรมชั่วจะให้ผลครับ เพราะถ้าเป็นปุถุชนแล้ว กรรมชั่ว สามารถให้ผลและไปเกิดในอบายภูมิได้ แม้ผู้นั้นจะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมากมายเท่าไหร่ ตราบใดที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล ชาติต่อไปก็อาจไปอบายภูมิได้ครับ จึงไม่ใช่ว่าฟังเทศน์เรื่องนี้จะไปสวรรค์ในชาติถัดไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2554

ประเด็นที่ 3 เมื่อฟังเทศน์มหาชาติ จะไม่ตกนรก เมื่อตายไปแล้ว

เช่นเดียวกันครับ คติของปุถุชนไม่แน่นอน ตามที่กล่าวมา และยังสามารถทำอนันตริยกรรมได้ มีการฆ่า บิดา มารดา เป็นต้น แม้จะฟังเทศน์ ศึกษาพรธรรม แต่เมื่อทำอนันตริยกรรม ซึ่งสามารถทำได้ เพราะเป็นปุถุชนก็ต้องไปนรกในชาติถัดไปทันที แม้จะฟังเทศน์มากสักเท่าไหร่ก็ตามครับ ผู้ที่จะไม่อบาย พ้นจากนรก แน่นอน คือ พระอริยเจ้า มีพระโสดาบัน เป็นต้นครับ ที่ท่านเมื่อตายจากโลกนี้จะไม่ไปอบายภูมิครับ

และประเด็นที่ว่า เมื่อถึงพุทธกาลพระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดา จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์

เราไม่ทราบว่าจะเกิดเป็นอะไรเพราะเราทำกรรมมามากมายครับ ไม่จำเป็นเลยว่าเมื่อฟังเทศน์บทนี้จะต้องไปเป็นเทวดารอลงมาที่สมัยพระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรย์

และประเด็นสุดท้ายที่ว่า

5. ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา ก็จักได้บรรลุมรรคผล นิพพานเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

การอบรมปัญญา เป็นเรื่องจิรกาลภาวนา อบรมยาวนาน หากอ่านประวัติพระสาวกที่ท่านได้บรรลุ ท่านต้องอบรมปัญญาหลายกัป หรือ แสนกัปก็มี เพราะสะสมความไม่รู้มามาก ต้องเจอพระพุทธเจ้าหลายพระองค์กว่าจะได้บรรลุ และต้องศึกษาพระธรรมอย่างมากมาย ดังนั้นไม่ใช่แค่เพียงฟังเทศน์บทนี้บทเดียว ก็จะทำให้มีปัญญามากแล้ว จนสามารถบรรลุเป็นพระอริยเจ้าในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปครับ ไม่ใช่เหตุผลที่สมควรและตรงตามที่พระพุทะเจ้าทรงแสดงครับ การอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม จึงไม่ใช่เพียงการฟังเทศน์บทเดียว แต่ต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบในส่วนต่างๆ มากมาย ที่สำคัญที่สุดต้องเข้าใจหนทางดับกิเลส คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในศาสนานี้ด้วย สมัยนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหนทางดับกิเลสเลยในชาตินี้ เพียงฟังเทศน์เรื่องเดียวจะทำให้อินทรีย์แก่กล้า คือปัญญาแก่กล้าจะบรรลุในอนาคตได้ครับ

ดังนั้นพระธรรมจึงเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เพื่อได้ เพื่อติดข้อง แม้แต่การฟังธรรม อานิสงส์ของการฟังธรรม คือ ปัญญาเจริญขึ้น เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นและขัดเกลากิเลสและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม นี่คือจุดประสงค์ที่ถูกต้องและอานิสงส์ที่ถูกต้องในการฟังพระธรรม แต่ไม่ใช่ฟังธรรม โดยเลือกหมวดใดหมวดหนึ่ง เลือกที่จะฟังเรื่องนี้เพราะได้อานิสงส์อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าถูกโลภะ คือ กิเลสหลอกให้ติดข้องแม้แต่การฟังพระธรรมครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 17 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละ ตั้งแต่ต้น ละความติดข้องต้องการ รวมถึงกิเลสประการอื่นๆ ด้วย ที่จะสอนให้ติดข้องยินดีพอใจนั้น ย่อมไม่ใช่คำสอนของพระองค์อย่างแน่นอน ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสกิเลสใดๆ ได้เลย ยังไม่รอดพ้นจากการเกิดในอบายภูมิ เพราะถ้ากระทำอกุศลกรรม เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสะสมความดี ซึ่งเป็นกุศลประการต่างๆ บ่อยๆ เนืองๆ โอกาสที่กุศลจะให้ผล ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ก็มีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งธรรมทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะอกุศล หรือ บาปธรรม นำไปสู่อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น

ส่วน กุศลธรรม นำไปสู่สุคติ เหตุย่อมสมควรแก่ผล เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ส่วนการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นเรื่องของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าไม่ได้สะสมปัญญามาเลย ไม่ได้มีศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง แล้วจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร

สำหรับในประเด็นเรื่องการฟังเทศน์มหาชาติ ควรที่จะได้พิจารณา ว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า เทศน์ คือ อะไร? มหาชาติ คือ อะไร? เทศน์ หรือ เทศนาหมายถึงการแสดง ส่วนมหาชาตินั้น หมายถึง พระชาติที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อเกิดเป็นพระเวสสันดร เป็นพระชาติที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี คือทรงบำเพ็ญมหาทาน ทรงบริจาคบุตร ภรรยา อันเป็นที่รักของพระองค์ ทรงบริจาคสิ่งอันเนื่องกับพระองค์ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและก็ทรงบำเพ็ญครบทั้ง ๑๐ บารมี ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ทานบารมีอย่างเดียวเท่านั้น

ก่อนที่พระองค์จะได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต มีพระนามว่า เสตเกตุเทพบุตร ต่อจากนั้น ก็เคลื่อนจากความเป็นเทพบุตรทรงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช และ ได้ทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุด ดังนั้น เทศน์มหาชาติ ก็คือ การแสดงเวสสันดรชาดก นั่นเอง เมื่อมีผู้เทศน์หรือผู้แสดงก็ต้องมีคนฟัง ผู้ฟังพระธรรมเทศนาในส่วนดังกล่าวนั้นชื่อว่า ฟังเทศน์มหาชาติตามความเป็นจริงแล้ว เวสสันดรชาดก

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแก่พระอรหันต์สองหมื่นรูป และพระประยูรญาติที่มหาวิหารนิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อครั้งที่พระองค์ เสด็จไปโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา และพระประยูรญาติ โดยทรงทำฝนโบกขรพรรษให้เป็นเหตุ จึงตรัสชาดกดังกล่าวนี้ เวสสันดรชาดก เป็นชาดกที่ยาวมาก เป็นหนึ่งในมหานิบาตชาดก ประกอบด้วยพระคาถา ๑,๐๐๐ พระคาถา ผู้ที่สนใจในรายละเอียด สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่..[เล่มที่ 64]

[เล่มที่ 64] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ หน้า ๔๘๔ - ๘๑๕ ครับ

การฟังการศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และ มีความเข้าใจไปตามลำดับ ซึ่งสัตว์โลกที่ได้รับประโยชน์จากการแสดงพระธรรมของพระองค์ มีมากมายนับไม่ถ้วน การแสดงเวสสันดรชาดกในยุคปัจจุบันนี้ ถ้าจะให้ได้ประโยชน์จริงๆ ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งผู้แสดงและผู้ฟัง ควรอย่างยิ่งที่จะนำข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกมาแสดง ด้วยคำพูดธรรมดา เปิดโอกาสให้ซักถามเป็นการสนทนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องถือเอาแบบอย่างที่ดีจากบุคคลผู้เลิศที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ด้วยการแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริงโดยไม่ทรงต้องการอย่างอื่นเลยในการทรงแสดงพระธรรมแต่ละครั้ง นอกจากให้ผู้ฟังได้เข้าใจธรรม เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง เท่านั้น จริงๆ และควรที่จะได้พิจารณา เพิ่มเติม คือ มหาชาติ หรือชาติใหญ่ๆ ของพระโพธิสัตว์ไม่ใช่มีเพียงชาติที่เป็นพระเวสสันดร เท่านั้น ยังมีอีกหลายชาติ เช่น สมัยเป็นพระมหาชนก เนมิราช สุวรรณสาม พระเตมีย์ มโหสถ วิธุรบัณฑิต เป็นต้น ก็เป็นชาติใหญ่ที่ควรนำมาแสดงด้วย ควรศึกษา ด้วยเช่นเดียวกัน

การแสดงพระจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่างๆ รวมถึงพระชาติใหญ่ๆ (มหาชาติ) มีเวสสันดรชาดก เป็นต้น นั้น เป็นการแสดงธรรม เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง จะได้เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ตามความเป็นจริง โดยไม่ได้จำกัดเลยว่าจะต้องเป็นช่วงใด เพราะเหตุว่า การแสดงธรรม หรือ การสนทนาธรรมรวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จะเป็นช่วงเวลาใด ก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ตามการสะสมของแต่ละบุคคลและไม่ใช่เพียงแค่ชาดกเท่านั้น ที่ควรแสดงหรือควรศึกษา แต่ควรศึกษาทุกส่วนทั้งในส่วนของพระวินัย พระสูตรอื่นๆ และพระอภิธรรม เพราะทั้งหมดนั้น เมื่อศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา อย่างแท้จริง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Yongyod
วันที่ 18 ก.ย. 2554

ทุกอย่างเป็นธรรมะ และธรรมะทุกอย่างเป็นอนัตตา ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย จะเลือกว่าทำอย่างนั้นทำอย่างนี้แล้วจะได้หวังผลอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้นั้นไม่ใช่สาระในการที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง หนทางที่แท้จริง ก็คือ แค่รู้เหตุปัจจัย ที่จะให้ผลคืออะไร ก็เพียงเริ่มต้นสะสมเหตุปัจจัยนั้นตั้งแต่เดียวนี้ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่ไม่ต้องหวังครับ ถ้าจำไม่ผิดผมเคยได้ยิน ท่านอ สุจินต์เคยบอกว่า มาสะสมความเข้าใจธรรมะอย่าง ให้เป็นเรื่องสบายๆ โดยที่ไม่ต้องหวังไม่ดีกว่าหรือ เพราะธรรมะเป็นเรื่องละทั้งหมด ถ้าเกิดความหวัง ก็แสดงว่าสติยังไม่เกิด ต่อเมื่อดับความหวังได้เป็นสมุทเฉจเมื่อไรแล้วละนั่น คือหนทางที่ถูกต้องนะครับ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมจากการฟังธรรมะแนวทางของท่านอาจารย์

ปัญญา คือเหตุที่จะทำให้ เกิดผล คือสภาพพ้นทุกข์ ดังนั้น ต้องเจริญเหตุคือปัญญาไปเรื่อยๆ จนเหตุสมควรแก่ผลเมื่อไรในอีกกี่ชาติ เมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่ต้องหวัง เพราะหวังผลเมื่อไรเป็นอกุศลเมื่อนั้น ถ้าหวังบ่อยก็เกิดอกุศลบ่อย แทนที่จะเป็นเจริญกุศลก็กลับเป็นอกุศลเจริญไปนะครับ ถ้าเริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตามากขึ้นเท่าไร ความหวังก็จะลดน้อยถดลงไปเรื่อยๆ แต่จะเข้าใจได้ไม่ง่ายๆ นะครับต้องสั่งสมข้ามภพข้ามชาติกันทีเดียวละ

ดังนั้น ต้องไม่ขาดการฟังธรรมครับ ที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิด อีกอันที่ผมจำได้แม่น อ สุจินต์ ย้ำบ่อยๆ ว่า การศึกษาธรรมะก็แค่เพื่อความเข้าใจคับ ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น ง่ายไหมละครับ เพราะถ้าเข้าใจก็ถึงซึ่งปัญญา ปัญญาคือความเข้าใจ นั่นเอง สะสมไปเรื่อยๆ สบายๆ ดีไหมละครับ ก็ขอร่วมสนทนาแค่นี้ครับ

ขออนุโมทนา อ เผดิม กับ อ คำปั่น ด้วยครับผมเข้ามาอ่านในกระดานบ่อยๆ อ.ทั้งสองตอบกระทู้ๆ ได้ดีมากครับ เป็นปัญญาในศาสนาพุทธจริงๆ เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจได้ ได้ความรู้ในแง่มุมที่หลากหลาย และที่สุด ขอกราบเท้าอนุโมทนาบุญ ในกุศลวิริยะของ ท่านอ สุจินต์ ครับ ที่ทำให้ใครหลายคนเข้าใจธรรมะมากขึ้นจากที่ไม่เคยเข้าใจเลย รวมถึงตัวผมด้วย ผมตั้งใจว่า จะศึกษาต่อไป จนกว่าจะเข้าถึงธรรมะ จนประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า ทุกสิ่งมีจริงเป็นธรรมะ แค่เกิดปรากฎ แล้วก็หมดไป และที่สุดคือเห็น ธรรมะว่าเป็นธรรมะ จริงๆ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 18 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
patiphat
วันที่ 19 ก.ย. 2554

จริงตามที่ท่าน อ.คำปั่น กล่าวถึงครับ ชาติอื่นๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ควรจะกล่าวถึง แต่ไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงเลย เคยอ่านจบแล้วจึงทราบว่ามีความสำคัญทั้งนั้น เคยถามภิกษุว่าทำไมไม่เทศน์เรื่องชาติอื่นๆ ของพระองค์ท่านบ้าง มีคำตอบแต่ว่าชาตินี้สำคัญที่สุดคือรวมมาทั้งหมดของชาติอื่นๆ แล้ว ฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าท่านัก อย่างไรก็ตามต้องศึกษาให้หมดครับ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสองเรื่อง

ขอเสริมหน่อยครับเกี่ยวกับกระทู้นี้ครับ ต้องพิจารณาครับอะไรคือธรรมและวินัย และประเพณีที่ขัดกับกับหลักธรรมโดยสิ้นเชิง จนกลายเป็นความงมงายได้ เหตุเพราะสืบต่อๆ กันมา อย่างที่เป็นกันกันอยู่ทุกวันนี้ครับ

ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
samroang69
วันที่ 26 ก.ย. 2554

ขอบคุณทุกท่านที่ได้กรุณาตอบมา ผมยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ได้ฟังการเทศพระมาลัย แล้ว สงสัยว่า การที่ตัดต้นโพธิ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตยได้ แล้วถ้าไม่รู้ว่าเป็นต้นโพธิ์ละ ตัดแล้วจะเป็นไง มีข้อยกเว้นบ้างไม เช่น ตอนที่ตัดเห็นเป็นต้นไม้ แต่ไม่รู้ว่าต้นอะไร เพราะมีแต่เถาวัลย์เต็มไปหมด พอตัดแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นต้นโพธิ์ ก็ได้ยกมือไว้ต้นโพธิ์ขอขมา เพราะรู้อยู่ว่าถ้าตัดแล้วเป็นบาปและทำให้ไม่ได้เกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตย แล้วอย่างที่มันขึ้นตามเจดีย์บ้างละ ก็ได้ดึงเอาออกบ้างจะเป็นไรบ้างครับ ขอความกระจ่างแจ้งด้วยนะครับ

ขอบคุณ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ