เวลาสวดมนต์ทำไมขนลุก

 
Laymen
วันที่  19 ก.ย. 2554
หมายเลข  19754
อ่าน  34,139

ปกติจะสวดมนต์ก่อนนอนเกือบทุกคืนถ้ามีเวลา สวดมนต์บทอื่นๆ ขนไม่ลุก แต่พอสวดมนต์ตอนอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขนลุกทั้งตัวเลย จะเป็นอย่างนี้บ่อยมาก เดี๋ยวนี้ชินแล้ว ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อนครับ เพราะ มนต์ (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญคือมนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตรต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย

การสวดมนต์จึงไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส

ในความเป็นจริงแล้วในสมัยพุทธกาล บุคคลสมัยนั้นต่างก็พูดเป็นภาษาบาลีกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำพูดเมื่อจะกล่าวสรรเสริญใคร ยกย่องบุคคลใด รวมทั้งอธิบายในสิ่งใดให้ผู้อื่นเข้าใจก็ใช้คำบาลี การสวดมนต์ที่ปัจจุบันสวดกันนั้นก็เป็นภาษาบาลี มีการกล่าวยกย่องสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น รวมทั้งเป็นบทพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสูตรต่างๆ ในปัจจุบันก็นำมาสวดกัน หากแต่ว่าเราจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ของพระพุทธศาสนาที่พระองค์ได้แสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์คือ ละ สละ ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อได้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือความคุ้มครอง การได้มีชีวิตที่ดี ได้สิ่งที่ดีเพราะอาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะขณะนั้นเป็นโลภะ ความติดข้อง พระพุทธองค์จะไม่สอนให้เกิดอกุศล เพิ่มอกุศลเลย เพราะฉะนั้น จุดประสงค์จึงจะต้องถูกต้องตั้งแต่ต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ย. 2554

การสวดสาธยายพระธรรมในสมัยพุทธกาลจึงเกิดจากความเข้าใจพระธรรม มีปัญญาเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว จึงสาธยายเพื่อระลึกถึงพระคุณพระพุทธเจ้า เพื่อเพิ่มโสภณธรรม สภาพธรรมฝ่ายดี มีศรัทธา เป็นต้น ในการสาธยายบทพระธรรมนั้น มิใช่เพื่อได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เพื่อละ เพราะเมื่อกุศลจิตเกิดขึ้นก็ละอกุศลขณะนั้น พร้อมๆ กับการสาธยายนั้นเองก็พิจารณาธรรมตามบทธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วย เพราะผู้คนสมัยนั้นเข้าใจภาษาบาลีกัน จึงเป็นการเพิ่มพูนปัญญาอันเป็นจุดประสงค์สูงสุดของพระพุทธศาสนาครับ

เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ การสวดมนต์ก็จะถูกต้องคือเป็นไปเพื่อการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ไม่ใช่เพื่อได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และอาการขนลุกก็ไม่ใช่เรื่องของปัญญาครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่เกิดจากการสะสมบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่ยาวนาน ซึ่งจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง โดยไม่ใช่เพียงสวดหรือท่องเท่านั้น จะต้องเป็นผู้มีความเข้าใจด้วย บทสวดมนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมงคลสูตร กรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ล้วนเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาและเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้านำมาสวดหรือท่องเพื่อได้ เพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด หวังลาภสักการะ ก็เป็นการผิดตั้งแต่ต้น เป็นอกุศลตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เพราะพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงทั้งหมดนั้น เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อความติดข้องต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าจะมองในมุมกลับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สวด แต่ศึกษาแล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ย่อมเป็นประโยชน์กว่าอย่างแท้จริง

แม้แต่คำว่า "สวด" ซึ่งเป็นคำไทย ก็ยังต้องแปลไทยเป็นไทยอีก เพื่อจะได้สอดคล้องตรงกับความหมายเดิมในภาษาบาลี คือมาจากคำว่า "สาธยาย [สชฺฌาย] " หมายถึง การกล่าวทบทวน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้ว ก็มีการทบทวน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อได้ฟังแล้ว อย่างไรจึงจะไม่ลืม ก็ด้วยการทบทวนไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เก็บไว้ในหทัยนั่นเอง

และที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือในสมัยปัจจุบันนี้มีบทสวดต่างๆ หลายบทที่มีการแต่งขึ้นในภายหลัง ซึ่งไม่ใช่พระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็ไม่ใช่มนต์ ถึงแม้ว่าจะมีการนำคำว่ามนต์มาใช้ก็ตาม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกเป็นปัญญาของตนเองต่อไป

ยิ่งฟังพระธรรม ก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะได้เข้าใจความจริง ในฐานะของสาวก ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะพึงได้ คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 19 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
bauloy
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
miran
วันที่ 21 ก.ย. 2554

ขอพร กับ อธิษฐาน ต่างกันอย่างไร ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

ขอพร ในพระพุทธศาสนาคือขอโอกาสในการทำความดี เช่น นางวิสาขาขอพรจากพระพุทธเจ้าที่จะอุปฐากพระภิกษุ แต่ขอพรของชาวโลกคือการขอด้วยโลภะ อธิษฐานก็เช่นกัน อธิษฐานในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องคือการตั้งใจมั่นในการทำความดี ส่วนการอธิษฐานของชาวโลกคือการขอ

การขอพรในพระพุทธศาสนาและอธิษฐานในพระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องการทำความดี เพียงแต่ว่าการขอพรคือขอโอกาสในการทำความดี ส่วนอธิษฐานคือมีจิตตั้งใจที่จะทำกุศลครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pamali
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Laymen
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ประสบการณ์ส่วนตัวล่าสุด ส่วนใหญ่จะสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอนและนั่งสมาธิด้วย เวลาเริ่มสวดมนต์ขนลุกซู่ตลอดของการสวด ก่อนสวดไม่ได้มีจิตใจที่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น แต่จะทำใจให้สงบ ตั้งสติ ไม่คิดวอกแวกไปทางอื่นเลย เคยได้ยินมาว่าตอนเราสวดมนต์จะมีเทวดา ตลอดถึงวิญญาณต่างๆ มาขอส่วนบุญกุศลที่เราแผ่ให้ไป จริงหรือไม่ ผู้รู้กรุณาช่วยตอบหน่อยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 11 ครับ

ไม่จำเป็นต้องมีเทวดาหรือวิญญาณมาขอส่วนบุญจากการสวดมนต์ครับ เทวดาท่านอนุโมทนาในคุณความดีทุกประการ ไม่ใช่เพียงการสวดมนต์ ส่วนเปรต สิ่งที่เขาต้องการคือการอุทิศส่วนกุศลในการถวายทานของญาติครับ ไม่ใช่การสวดมนต์

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Laymen
วันที่ 25 มี.ค. 2555

สรุปว่า ขนลุกตอนสวดมนต์มันคืออะไรกันแน่ ตอนสวดไม่ได้หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะบทสวดมนต์เป็นบทที่สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า (จะกลัวไปทำไม) ล่าสุด ตอนสวดบทคาถาชินบัญชรกับแผ่ส่วนอุทิศผลบุญ ให้กับสิ่งลี้ลับทั้งหลายรวมถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย ขนลุกซู่จนตัวเองเกิดอาการกลัวด้วย (ขอเน้นย้ำว่า ขอผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงเท่านั้นที่จะกรุณาตอบคำถามนี้)

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
paderm
วันที่ 27 มี.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 13 ครับ

สรุปว่า การขนลุกเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาในพระพุทธศาสนาและเป็นไปเพื่อละคลายกิเลสหรือไม่ครับ เป็นจุดประสงค์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงหรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ "

"ซึ่งเท่ากับทุกคนเป็นเจ้าของของกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว"

"แลกเปลี่ยนกรรมกันไม่ได้เลยครับ"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
isme404
วันที่ 23 มิ.ย. 2555
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Rodngoen
วันที่ 19 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 2 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ