ช่วยกรุณาเฉลย คำถามทบทวนภาคผนวก

 
guy
วันที่  20 ก.ย. 2554
หมายเลข  19759
อ่าน  1,485

จากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป หน้า 418 -420

ข้อที่6. เมื่อเสียงกระทบหู จิตอะไรรู้เสียงเป็นขณะแรก

ตอบว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต (เกิดที่หทยวัตถุรู้ครั้งแรก) หรือ โสตวิญญาณ (รู้เสียง) ครับ

ข้ิอที่15. ปรมัตถธรรมที่เป็นนเหตุนั้นเป็นขันธ์อะไรบ้าง

ตอบว่า ทั้ง 5 ขันธ์ จะถูกต้องไหมครับ

ข้อที่26. จิตภูมิไหนมี 1 ชาติ

ตอบว่า ไม่มี ถูกต้องไหมครับ

เรียนถามนอกหนังสือครับ

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ตรัสรู้เป็นพระโสดาบันเมื่อไรและที่ไหนครับ

- พระธรรมวินัยซึ่งพระอรหันตสาวกได้สังคายนาเป็น 3 ปิฎก เมื่อไรและที่ไหน ครับ

ขออนุโมทนาและขอบพระคุณมากครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อที่6. เมื่อเสียงกระทบหู จิตอะไรรู้เสียงเป็นขณะแรก

ตอบว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต (เกิดที่หทยวัตถุรู้ครั้งแรก) หรือ โสตวิญญาณ (รู้เสียง)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

คำตอบ คือ ปัญจทวาราวัชนจิต (โสตทวาราวัชนจิต) รู้เสียง มีเสียงเป็นอารมณ์ รู้เสียง

ก่อนโสตวิญญาณครับ แต่รู้เสียงโดยการเป็นอารมณ์ แต่ไมได้ได้ยินเสียง การได้ยิน

เสียงคือ โสตวิญญาณจิตครับ แต่ถ้าจิตที่รู้เสียงก่อนขณะแรกก็ต้องเป็นปัญจทวารา

วัชนจิตครับ

-----------------------------------------------------------------------------

ข้ิอที่15. ปรมัตถธรรมที่เป็นนเหตุนั้นเป็นขันธ์อะไรบ้าง

ตอบว่า ทั้ง 5 ขันธ์ จะถูกต้องไหมครับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า เหตุ กับ นเหตุก่อนครับ

สภาพธรรมที่เป็นเหตุ มี 6 ประการ คือ เจตสิก 6 ดวง ที่เป็นโลภเจตสิก โทสเจตสิก

โมหเจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิกและอโมหเจตสิก เจตสิก 6 ดวงนี้ เป็นสภาพ

ธรรมที่เป็นเหตุครับ นอกนี้ไม่ใช่เหตุ เรียกว่า นเหตุ

ส่วนคำว่า นเหตุ คือ สภาพธรรมที่ไม่ใช่เหตุ นั่นก็คือ สภาพธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก 6

ดวงที่เป็นเหตุตามที่กล่าวมาครับ

คำถามถามว่า ปรมัตถธรรมที่เป็นนเหตุนั้นเป็นขันธ์อะไรบ้าง

ปรมัตถธรรมมี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูปและพระนิพพาน

ส่วนขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็คือ จิต เจตสิก รูป แต่เว้นพระ

นิพพานครับ

ดังนั้น ที่ท่านผู้ถามตอบว่าทั้งชันธ์ 5 อันนี้ยังไม่ใช่ครับ เพราะ ขันธ์ 5 ประกอบด้วย

รูป เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก สังขาร (เจตสิก 50 ดวง) และวิญญาณคือจิตทั้งหมด

เจตสิกทั้งหมด มี 52 ประเภท ซึ่งในขันธ์ 5 มี เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิกและ

เจตสิกที่เหลือ 50 ดวง เป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นเหตุ 6 ดวง ก็อยู่

ในสังขารขันธ์นั่นเองครับ เมื่อเราพูดถึง นเหตุก็คือสภาพธรรมที่ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่โลภ

เจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิกและอโมหเจตสิก

ดังนั้นในขันธ์ 5 รูป เป็นนเหตุ คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เหตุ เพราะไม่ใช่เหตุ 6

เวทนา เป็นนเหตุ เพราะไม่ใช่เจตสิก 6 ประเภท สัญญา เป็นนเหตุ เพราะไม่ใช่เหตุ

6 ประเภท วิญญาณ คือ จิตทั้งหมด เป็น นเหตุ เพราะจิตไม่ใช่เจตสิก หรือ เหตุ 6

ประเภท สังขารขันธ์ คือ เจตสิก 50 ดวง เป็นนเหตุก็มี เป็นเหตุก็มี ในสังขารขันธ์ ครับ

สังขารขันธ์ คือ เจตสิก 50 ดวง มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโมหะ อโทสเจตสิกรวม

อยู่ด้วย เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุมี มี 6 ดวงตามที่กล่าวมา ส่วน เจตสิก 44

ดวงที่เหลือในสังขารขันธ์ เป็น นเหตุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ย. 2554

สรุปนะครับ

ปรมัตธรรมคือสภาพธรรมที่มีจริง ที่มี 4 อย่างคือ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน

ตามที่กล่าวแล้วว่า เหตุ มี 6 ประการตามที่กล่าวมาคือ โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมห

เจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิกและอโมหเจตสิก

ส่วน นเหตุคือสภาพธรรมที่ไม่ใช่เหตุ คือ ไม่ใช่เหตุ 6 ประการนี้

รูปขันธ์ เป็น นเหตุ คือ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นเหตุ 6 ประการ

เวทนาขันธ์ เป็น นเหตุ

สัญญาขันธ์ เป็น นเหตุ

สังขารขันธ์ คือ เจตสิก 50 ดวง เป็นเหตุก็มี คือ เหตุ 6 และที่เหลือ 44 ดวง เป็นนเหตุ

จิตหรือวิญญาณขันธ์ ไม่ใช่เจตสิก 6 ประเภทนี้ จึงไม่ใช่เหตุ เป็น นเหตุครับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้อที่26. จิตภูมิไหนมี 1 ชาติ

ตอบว่า ไม่มี ถูกต้องไหมครับ

ถูกต้องครับ ไม่มีจิตภูมิไหนที่มีชาติเดียว ชาติ หมายถึงการเกิดของจิตและเจตสิก มี 4

ประเภท คือ กุศลชาติ อกุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ย. 2554

เรียนถามนอกหนังสือครับ

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ตรัสรู้เป็นพระโสดาบันเมื่อไรและที่ไหนครับ

การตรัสรู้ บรรลุธรรม ดับกิเลสหมด ไม่ว่าใคร บุคคลใด ก็ต้องอบรมปัญญาเป็นไปตาม

ลำดับ คือ ถึงความเป็นพระโสดาบันก่อน และถึงความเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี

และพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าสมณโคดม ประทับที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา ในวันวิสาขบูชา ใน

ปัจฉิมยามราตรี พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า คือ ถึงความเป็น

พระอรหันต์ แต่ตามที่กล่าวแล้วว่าไม่ว่าบุคคลใดต้องผ่านปัญญาเป็นลำดับ ถึงความ

เป็นพระโสดาบันก่อนครับ ดังนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้เป็นพระโสดาบันในปัจฉิมยามราตรี

ในขณะที่พิจารณาปฏิจจสมุปบาทนั่นเองครับ แต่ด้วยความรวดเร็ว คือ พระองค์บรรลุ

เป็นพระโสดาบันและก็บรรลุต่อเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ทันที

อย่างรวดเร็วนั่นเองครับ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระโสดาบันเมื่อปัจฉิม

ยามแห่งราตรีในคืนวันวิสาขบูชา ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาและก็ได้บรรลุเป็นพระ

อรหันต์เพียงชั่วขณะจิตไม่นาน ณ ที่นั่นครับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

- พระธรรมวินัยซึ่งพระอรหันตสาวกได้สังคายนาเป็น 3 ปิฎก เมื่อไรและที่ไหน ครับ ขออนุโมทนาและขอบพระคุณมากครับ

การสังคายนาพระธรรมของพระพุทธเจ้าครั้งแรก โดยสาวก ทั้ง 3 ปิฎก เมื่อพระพุทธเจ้า

ปรินิพพานได้ 3 เดือน การทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา

เมืองราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์

อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยใน

ครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนา

แสดงพระธรรมวินัยในหมวด สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก พระอุบาลี เป็นผู้วิสัชชนา

พระวินัยปิฎก

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยจริง ๆ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงจำแนกธรรมเป็นหมวดต่างๆ โดยนัยต่างๆ ก็เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ข้อที่ควรจะพิจารณาเพิ่มเิติม คือ

จากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป หน้า 418 -420

ข้อที่26. จิตภูมิไหนมี 1 ชาติ

ตอบว่า ไม่มี ถูกต้องไหมครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า ภูมิ ในที่นี้ หมายถึงระดับขั้นของจิต มีทั้งหมด ๔ ระดับขั้น คือ -กามาวจรจิต มีจิตทั้งหมด ๕๔ ดวง คือ อกุศลจิต ๑๒ ดวง (เป็นอกุศลชาติ) อเหตุกจิต ๑๘ (มี ๒ ชาิติ คือ ชาิติิกิริยา กับ ชาิติวิบาก) กามโสภณจิต ๒๔ ได้แก่มหากุศล ๘ (ชาิติกุศล) มหาวิบาก ๘ (ชาิติวิบาก) และ มหากิริยา ๘ (ชาิติกิริยา) ดังนั้น จิตระดับขั้นที่เป็นกามาจวรภูมิ จึงจำแนกเป็นชาติต่างๆ ได้ดังที่่กล่าวมา -รูปาวจรจิต มีจิตทั้ง ๑๕ ดวง ได้แก่ รูปาวจรกุศล ๕ (ชาติุกุศล) รูปาวจรวิบาก ๕ (ชาติวิบาก) รูปาวจรกิริยา ๕ (ชาติกิิริยา) -อรูปาวจรจิต มีจิตทั้งหมด ๑๒ ดวง ได้แก่ อรูปาวจรกุศล ๔ (ชาติกุศล) อรูปาวจร-วิบาก ๔ (ชาติวิบาก) และ อรูปาวจรกิิริยา (ชาติกิริยา) -โลกุตตรจิต มีจิต ๘ ดวง คือ โลกุตตรกุศล ๔ (ชาติกุศล) และ โลกุตตรวิบาก ๔ (ชาิติวิบาก) ดังนั้นจากคำถามที่ว่า จิตภูมิไหนมี ๑ ชาติ คำ่ตอบ คือ ไม่มี จึงถูกต้อง เพราะเหตุว่า จิตระดับขั้นที่เป็น กามาวจรจิต มีจิตได้ทั้ง ๔ ชาติ รูปาวจรจิต และ อรูปาวจรจิต มีจิตได้ ๓ ชาติ และ โลกุตตรจิต มีจิต ๒ ชาติ ซึ่งจะต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใด ตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ ทั้งหมด เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ และ ถ้าไม่มีการทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนาเมื่อวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ สัตว์โลกก็จะไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย แต่เพราะพระองค์ได้ทรงตรัสรู้อลั ได้ทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนา จึงทำให้สัตว์โลกที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจไปตามลำดับ ได้รับประโยชน์จากพระธรรม และพระธรรมก็มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยการเห็นประโยชน์ของพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายในอดีตที่มุ่งจะให้พระสัทธรรมดำรงอยู่เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง จึงมีการทำการสังคายนา รวบรวมเป็นหมวดเป็นหมู่ เป็น ๓ ปิฎก คือ พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก เพื่อประโยชน์สำหรับศึกษาอย่างแท้จริง จึงเป็นโอกาสอันดีทีจะได้ศึกษาพระธรรม ร่วมกัน เพื่อความเข้าใจถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 20 ก.ย. 2554
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
guy
วันที่ 21 ก.ย. 2554

เรียนถามเพิ่มเติมครับ

มีผู้กล่าวว่าเขามีจิตว่าง ไม่กระสับกระส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน สงบ เย็น เบาสบาย มีจิตรู้ใน

ขณะปัจจุบันบ่อยๆ โดยระลึกรู้ที่กายบ้าง ใจบ้าง เวทนาบ้าง ธรรมบ้าง ในชีวิตประจำ

วัน จนเห็นสภาพการว่างจากตัวตนเป็นบางครั้งบางคราว

จากที่ศึกษามาไม่น่าจะใช่สภาพธรรมตามความเป็นจริง เรียนถามอาจารย์เพื่อให้ความ

กระจ่างด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

การอบรมปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่ลักษณะของสมาธิครับ ดังนั้นจึงไม่ใช่ เป็น

เรื่องของจิตว่าง เพราะจิตไม่เคยว่างต้องมีอารมณ์ให้รู้เสมอและความไม่กระสับกระส่าย

อันเป็นลักษณะของสมาธิ ไม่ใช่ลักษณะของปัญญาที่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม

ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของสาภพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่

เราครับ ดังนั้นการเห็นสภาพว่างเปล่าจากตัวตน คือ เห็นสภาพธรรมด้วยปัญญาใน

ขณะนี้ ในสภาพธรรมแต่ละลักษระว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงไม่ใช่เรื่องของจิตว่าง หรือ

ความไม่กระสับกระส่ายจะหมายถึงการรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
guy
วันที่ 21 ก.ย. 2554

การศึกษาพระธรรมจึงต้องละเอียด พิจารณาให้เข้าใจถ่องแท้ ตรงกับสภาพธรรมตาม

ความเป็นจริง คืออบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจถูกต้อง กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุก

ท่านครับ

ที่สำคัญที่สุดคือการได้มีกัลยาณมิตรช่วยอบรม ชี้แนะอยู่เสมอ

ขอให้เจริญและมั่นคงในกุศลธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 21 ก.ย. 2554

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใคร

ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็น เรื่องของความเข้าใจ

เป็นปัญญา ไม่ใช่ไปทำ ไม่ใช่การจดจ้อง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ประสาน
วันที่ 6 มิ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ