อุบายพิจารณาการติดในรูปและเสียง

 
WS202398
วันที่  23 ก.ย. 2554
หมายเลข  19781
อ่าน  1,734

เมื่อพบผู้หญิงรูปร่างหน้าตาน่ารัก แต่งตัวน่ารัก อากัปกิริยาน่ารัก พูดจาไพเราะ ฉลาด

เฉลียว มีสัมมาคารวะ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้รู้สึกติดหลงในรูปและเสียงนั้น มีกลอุบาย

พิจารณาอย่างไรบ้าง ให้คลายใจ ผมเคยได้ยินว่าราคะ เสมือนศร เหมือนไฟ ใช่หรือ

เปล่าครับ เมื่อราคะกลุ้มรุมแล้ว จิตใจไม่สงบ นอกจากวิธีเจริญสติแล้วมีวิธีอื่นอีกหรือ

เปล่าครับ ปล. ขอแบบวิธีบ้านๆ ครับ แบบประณีตนี้รู้สึกจะเอาไม่ค่อยอยู่ (ทำยังไม่ถึง)

ลองพิจารณาอสุภะ (แบบเบาๆ ) จิตก็ยังเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งน่ารัก น่าใคร่ อยู่ จะว่าไป

ถ้าเรายังไม่รังเกียจร่างกายตัวเองด้วยความเป็นอสุภะอย่างแท้จริง ก็คงเป็นเช่นนั้นกับผู้

อื่นเช่นกัน อีกอย่างเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงแล้ว ก็ปรุงแต่งพิศดารทางใจต่ออีก ด้วย

ปปัญจสัญญา (ไม่รู้พิมพ์ถูกหรือเปล่า) ที่นี้ล่ะไปกันใหญ่ เหมือนไฟเผาใจให้ร้อนรุ่ม ทำไม

น่ะ ความจริง เราก็รู้อยู่ว่ารูปไม่เที่ยง เป็นปฏิกูล ผิวหนังที่หนาไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตร ทำให้

ติดหลงได้ ถ้าลอกออกก็ดูไม่ได้เลย ภายในก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่น่าใคร่น่าพอใจ ไปจน

ถึงน่ารังเกียจ แต่เมื่อรูปและเสียงที่น่ารักน่าพอใจกระทบแล้ว ก็ยังเห็นว่าน่ารักน่าพอใจ

อยู่เหมือนเดิม ผมยังไม่เคยเจริญอสุภะกรรมฐานอย่างจริงๆ เพียงแต่พิจารณาแบบเบาๆ

ถ้าเจริญอสุภะกรรมฐานแบบเต็มรูป จะแก้อาการนี้ได้หรือไม่ อีกประการหนึ่งการแก้ด้วย

อสุภะกรรมฐาน แม้แก้ได้ก็เสื่อมได้ใช่หรือไม่ สามารถกลับมาติดหลงได้อีก หากอารมณ์

อสุภะ เสื่อมไป จริงอย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ใด ที่

จะทำให้ติดหลงได้เท่ากับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ของเพศตรงข้าม สำหรับปุถุชน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง ด้วยเหตุและผลตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับ

แม้แต่เรื่องของกิเสที่เกิดขึ้น และหนทางละกิเลสที่เกิดขึ้น ซึ่งอริยสัจจะ ลึกซึ้ง เข้าได้

ยาก ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความริงครับว่า โลภะ คือ สภาพธรรมที่ติดข้องนั้น เป็นธรรม

เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น เพราะอะไร เพราะสะสมเชื้อของกิเลส ที่ซ่อน

ลึกไว้ในจิตใจ สะสมมามากมาย นับหาประมาณไม่ได้ เปรียบเหมือนของหมักดองที่หมัก

ไว้นาน จนไหลออกมาอย่างง่ายดายเมื่อมีเหตุจะเกิดขึ้น ดังนั้นในความเป็นจริงของ

ปุถุชน เมื่อได้พบกับอารมณ์ที่น่าพอใจ น่าปรารถนา กิเลสคือโลภะเกิดแล้ว อย่างรวด

เร็วและชำนาญเพราะสะสมมานานนั่นเองครับ ใครทำให้เกิด แม้ไม่อยากก็ต้องเกิดครับ

เพราะโลภะเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้น

โลภะจึงเป็นสภาพธรรมที่ติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นเพียงโลกุตตรธรรมเท่านั้นที่โลภะ

ไม่ติดข้อง ไม่ใช่เพียงรูปผู้หญิงเท่านั้นที่ติดข้องหรอกครับ ขณะนี้ มีโลภะเกิดโดยไม่รู้

ตัว เพียงเห็นเฉยๆ กิเลสคือโลภะก็เกิดแล้ว นี่แสดงถึงความละเอียดของโลภะ และ

ความมีกำลังของโลภะโดยไม่รู้ตัวเลย เกิดแล้ว แต่ที่เราเห็นว่ามีโลภะเกิดมาก ก็เพราะ

โลภะมีกำลังมากแล้วนั่นเอง

ดังนั้นรูปทุกรูป ไม่ใช่เพียงรูปที่น่าพอใจ มีรูปสตรีเท่านั้น ติดข้องหมดครับ โลภะอย่าง

นี้คิดจะละหรือไม่ ที่ไม่ใช่ในความติดข้องในสตรีครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงวา เราไม่

เห็นรูปอะไรเลยที่จะนาพอใจของผู้ชายเท่ารูปสตรี รูปสตรีย่อมเป็นที่น่าปรารถนา ติด

ข้องบุรุษมากครับ ดังนั้นขณะนี้กิเลสเกิดแล้ว ความชอบเกิดแล้ว และก็ดับไปแล้วและก็

เกิดอีกในขณะนี้ และโลภะที่ติดในรส ในการทานอาหาร ในชีวิตประจำวัน ในเรื่องอื่นๆ

เกิดแล้วจะละได้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ย. 2554

พระธรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่จะให้ทำ แต่เรื่องของความเข้าใจครับ คือ ถ้ามีปัญญา มีความ

เข้าใจถูก ไม่ต้องบอกให้ทำ หรือจะทำเลย ธรรม คือ ปัญญาจะทำหน้าที่เองครับ เพราะ

กิเลสเป็นสิ่งที่ละได้ยาก เพราะเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้นที่จะละได้ และปัญญาเพียง

ขั้นการฟัง วิปัสสนาญาณขั้นสูงก็ยังละกิเลสไม่ได้เลยครับ แม้พระโสดาบันก็ยังยินดี

ติดข้องในรูปที่สวยน่าปรารถนาเป็นธรรมดา พระอนาคามีเท่านั้นที่จะละกิเลสคือโลภะ

ความยินดี พอใจในรูป สียง..ที่น่าปรารถนาได้ครับ

จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำแต่ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้ว เข้าใจว่าอย่างไรครับ เข้าใจว่า

ธรรมดาครับ เข้าใจว่าอนัตตาด้วย คือ บังคับบัญชาไม่ได้ มีเหตุก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

จริงๆ การเข้าใจอย่างนี้ก็จะเบาเพราะเราจะไม่หาวิธีที่จะไปแก้กิเลส ที่แก้ไมได้ เพราะ

เหลือวิสัยที่จะต้านทานกิเลสคือโลภะครับ

การจะเห็นถึงความเป็ปฏิกูล และเห็นว่าเป็นธรรมจึงเป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริง

ดังนั้นเมื่อไม่มีปัญญาและก็เป็นธรรมดา ที่จะเกิดกิเลสและปัญญาน้อยอยู่ ก็อยู่ด้วยความ

เข้าใจตามที่กล่าวมาคือธรรมดาที่จะต้องเกิดครับ และเป็นธรรรมอีกเช่นกัน คือ ยังละ

กิเลสไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาระดับสูง เข้าใจแบบนี้ก็เบา เบาเพราะไม่จัดการ ไม่หาวิธี

ที่จะเปลี่ยน ที่จะทำ ที่จะบังคับกิเลส เบาด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรมและทำหน้าที่ คือ

ฟังพระธรรมต่อไป จึไม่ใช่จะปล่อยให้กิเลสเกิดนะครับ เกิดแล้วและก็เป็นอย่างนั้นและ

ยังไม่มีปัญญาก็ละไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ ฟังพระธรรมและทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย

เองครับ

ถ้าจะกล่าวถึงอุบาย ภาษาบาลีคือ อุปายะ ในทางพุทธศาสนาหมายถึงแนวทาง หรือ

หนทางแห่งความสำเร็จ ในทางที่เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นหนทางแห่ง ความ

สำเร็จนั้นก็คือ การรู้แจ้ง ด้วยปัญญา ต้องมีปัญญา ถึงจะมีอุบายครับ เข้าใจความจริงที่

เกิดแล้ว ไม่ต้องจัดการ เพราะจะจัดการกับกิเลสเมื่อไหร่ ใจก็เดือดร้อนกับกิเลสที่เกิด

ขึ้นเมื่อนั้น ก็เป็นกิเลสซ้อนกิเลสอีกครับ

เข้าใจถึงความเป็นจริงที่เป็นธรรมดาของกิเลสที่จะต้องเกิดขึ้นนะครับ และเข้าใจถึง

ความเป็นธรรมดาที่ยังละไม่ได้ ด้วยการเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราแม้ขั้นการฟัง แม้

กิเลสจะเกิดก็เข้าใจอย่างนี้ครับ ซึ่งความเข้าใจแบบนี้ ย่อมนำไปสู่การดับกิเลสได้ทั้ง

หมดเพราะเข้าใจถึงความเป็นธรรมว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตาครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เตือนให้ได้เข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันทุกประการ เพราะชีวิตประจำวันเป็นธรรม แม้แต่โลภะ ก็เช่นเดียวกัน เป็นอกุศลธรรมประการหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ว่าจะเป็นโลภะที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมี ที่ไม่ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อนโดยการกระทำทุจริต หรือจะเป็นโลภะที่มีกำลังกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องในระดับใด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งนั้น เพราะเป็นอกุศลธรรม,อกุศลธรรม เป็นโทษ เป็นภัย ไม่นำประโยชน์สุขใดๆ มาให้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะติดข้องในอะไร หรือเกิดกับใคร ก็เป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่นไปได้ ไม่ใช่เฉพาะเพศตรงข้ามเท่านั้นที่เป็นที่ตั้งของโลภะ อะไรก็ตามที่โลภะติดข้องได้ ย่อมติดข้องได้หมด ซึ่งเมื่อประมวลแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประำจำวันทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ บุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเห็นความลึกซึ้ง เห็นความเหนียวแน่นของความยินดีพอใจ ซึ่งมีในทุกๆ วันทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ความพอใจในทรัพย์ ความพอใจในบุคคล ในวัตถุสิ่งของซึ่งเป็นที่รักนั้น ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ในภพหนึ่งๆ ถ้าสามารถที่จะระลึกถอยไปได้ ก็จะเห็นได้ว่าความพอใจในสัตว์บุคคล ในวัตถุสิ่งของซึ่งเป็นที่รัก ในอดีตชาติที่ผ่านๆ มาแล้ว ย่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โลภะในวันนี้จะมาจากไหน ถ้าไม่เคยได้สะสมโลภะมาเลยในอดีต นี้แหละคือความเหนียวแน่นของอกุศลที่ได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ โลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง เรื่อยๆ ดังนั้นถ้าไม่เป็นผู้มีการอบรมเจริญปัญญา ดำเนินตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มด้วยความเห็นถูก อันเป็นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้จริงๆ จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น แล้ว โลภะไม่มีทางที่จะหมดไปได้ โลภะไม่สามารถสิ้นไปได้ด้วยวิธีอื่น โลภะ ไม่สามารถหมดสิ้นได้ด้วยการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเป็นตัวตน ด้วยการปฏิบัิติผิด เพราะถ้าปฏิบัติผิด อกุศลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่จะหมดไปได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา เพราะเหตุว่า กิเลสทั้งหลายทั้งปวง จะถูกดับได้ด้วยปัญญา เท่านั้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kinder
วันที่ 23 ก.ย. 2554
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 23 ก.ย. 2554

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม อันดับแรกให้ละความเห็นผิดก่อน อบรมเจริญสติปัฏฐาน

เมื่อปัญญาเกิด ขณะนั้นก็ละความยึดถือในสัตว์ บุคคล ตัวตน ละความยินดีในรูปเสียง

กลิ่น รส สัมผัส ชัวขณะสั้นๆ และจะละโลภะได้เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 23 ก.ย. 2554

เมื่อเดือนร้อนเพราะกามราคะ ก็หาวิธีการ ๑๐๘ มาจัดการ กลายเป็นเดือนร้อนหนักเข้า

ไปอีกตามที่อาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นให้ความเห็นไว้ข้างต้น ค่อนข้างชัดเจนนะ

ครับ "ทำอะไรไม่ได้ เพราะสะสมมานานมาก ได้แต่ทำความเข้าใจเค้า (กามราคะ) ก่อน

เท่านั้นเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ก่อนนะครับ เพราะไปเริ่มต้นยากๆ จะไปกันใหญ่

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 24 ก.ย. 2554

ฟังธรรมไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ถ้าสังเกตดูจะรู้สึกว่า ค่อยๆ ละ

ความติดข้องในบางสิ่งบางอย่างได้มากขึ้น รวมทั้งกาย วาจา ใจ ก็จะค่อยๆ ขัดเกลาให้ดี

ขึ้นได้เอง แต่การเดินทางเพื่อละกิเลสก็ยังอีกยาวไกล ต้องไม่ท้อค่ะ...

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
vinmool
วันที่ 24 ก.ย. 2554

คำถามของท่านสมาชิก WS202398 โดนใจผมจริงเลยครับ ผมเองก็มีความรู้สึกเช่น

เดียวกับคุณเลยครับ. ส่วนคำตอบของ คุณเผดิมและคุณคำปัน เมื่ออ่านแล้วผมรู้สึกว่าก็

ดีนะครับสำหรับผู้มีภูมิธรรม แต่สำหรับผมเมื่ออ่านแล้วยังเข้าไปไม่ถึงครับ อยากได้คำ

ตอบแบบชาวบ้านจริงครับ คีออ่านแล้วเข้าใจได้โดยไม่ยาก ขอความกรุณาท่านทั้งสอง

หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นช่วยกรุณาแนะนำอีกสักครั้งนะครับ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามาณโอกาศนี้ด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำถามฃองท่านสมาชิก WS202398 ถามในรูปแบบของช้าวบ้านแบบผมเลยครับ

ผมเองก็มี

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pat_jesty
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอร่วมสนทนาด้วยค่ะ

ธรรม เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วไม่ดับ เมื่อมีเหตุสะสมมามากก็

เกิดได้บ่อยๆ และสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก จึงดูเสมือนว่าสภาพอกุศลนั้นยาวนาน

ชัดเจน และเป็นเราที่มีอกุศล แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่จะดำรงอยู่ได้ยาวนาน ติดข้อง

ชอบ พอใจก็เพียงชั่วคราว เกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แม้ทุกๆ ขณะก็

กำลังเปลี่ยนแปลงไป ความรักจากความติดข้อง สามารถเปลี่ยนเป็นความเป็นมิตร มี

เมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ จากการศึกษาธรรมให้เข้าใจถูก และรู้ว่าสิ่งใดเป็นส่ิงที่ดี

งามควรปฏิบัติ หรือสิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าความรู้สึกนั้นจะ

อยู่กับเรานานๆ ควรพิจารณาว่าอะไรจะเป็นประโยชน์กว่าระหว่างติดข้อง คิดเรื่องราวต่อ

ไป หรืออนุโมทนาในความดีงามของเขา และเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ไม่ทราบว่าจะพอ

เป็นรูปแบบชาวบ้านให้เข้าใจได้บ้างหรือไม่ค่ะ..

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nong
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอร่วมสนทนากับคุณความเห็นที่ 8 ค่ะ ผิดถูกประการใด ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วย

แก้ไขด้วยค่ะ...

เวลาเห็นคนรูปร่างหน้าตาสวยงาม พูดจาดี นิสัยดี ย่อมเป็นที่ถูกใจ อยากคบหาด้วย

เป็นธรรมดา และเมื่อรู้สึกเกินเลยเป็นราคะ แต่รู้ว่าผิด ย่อมต้องอยากหักห้ามใจเป็น

ธรรมดาเช่นกัน สำหรับปุถุชนทั่วไปที่มีธรรมประจำใจอยู่...

การฟัง การศึกษาธรรมและความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จะทำเป็นปัจจัยให้จิตคิดใน

ทางที่ดีอยู่เสมอๆ เช่น เมื่อเป็นคนรูปร่างดี นิสัยดี ก็รู้ว่าเพราะเขามีศีลที่ดี สะสมกุศลที่

ดีมา เราจึงชื่นชมในกุศลของเขา จิตขณะนั้นก็เป็นจิตที่ดีค่ะ ไม่มีราคะ หรือโลภะเจือ

ปน เพราะจิตเกิดรู้อารมณ์ได้ทีละขณะเท่านั้น

การระลึกรู้เข่นนี้เสมอๆ ก็จะเป็นปัจจัยสะสมให้คิดในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ที่เป็นกุศลได้

เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ลดการติดข้องในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสลงได้บ้างค่ะ แต่ทั้งนี้

ทั้งนั้นต้องมีความเพียร อดทน และอย่าใจร้อนอยากดับความรู้สึกเร็วๆ ค่ะ จะไม่ได้ผลดี

เท่าที่ควร...

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
หลานตาจอน
วันที่ 25 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
WS202398
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ