มีวิบากเป็นที่พึ่งอาศัย

 
เมตตา
วันที่  25 ก.ย. 2554
หมายเลข  19800
อ่าน  6,276

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ ๒๗๘

๗. ตติยชนสูตร

[๑๗๐] เทวดาทูลถามว่า

อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอ

ของเขาย่อมวิ่งพล่าน อะไรหนอ เวียนว่าย

ไปยังสังสารวัฏฏ์ อะไรหนอ เป็นที่พำนักของ

สัตว์นั้น.

[๑๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อม

วิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสังสารวัฏฏ์

กรรม เป็นที่พำนักของสัตว์นั้น.

อรรถกถา ปฐมชนสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในปฐมชนสูตรที่ ๕ เป็นต้น :-

บทว่า วิธาวติ ได้แก่ ย่อมวิ่งไปทางนี้และทางนี้ ด้วยอำนาจแห่ง

การไปในที่ต่างๆ มีสมุทรเป็นต้น. บทว่า ทุกฺขา ได้แก่ จากวัฏทุกข์.

บทว่า ปรายนํ ได้แก่ ความเกิดขึ้นแห่งวิบาก เป็นที่พึ่ง.

จบอรรถกถาปฐมชนสูตรที่ ๕ เป็นต้น.



เมื่อเทวดาทูลถามปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า...เมื่อสัตว์โลกมีความ

พอใจความเป็นที่จะเกิดขึ้นมาเพื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส แล้วก็ติด

ข้องเพลิดเพลิน เมื่อมีกำลังเป็นเหตุให้กระทำกรรม สัตว์โลกจึงมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยที่

เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ความเกิดขึ้นแห่งวิบากนี้เองจึงเป็นที่พึ่ง นั่นคือ ปฏิสนธิจิต

การเกิดขึ้นในภพภูมิต่างๆ ตามสมควรแก่กรรมที่ได้กระทำไว้ ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับ

ไปไม่เกิดขึ้นอีกในภพนี้ และในแต่ละภพชาติ สัตว์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน...และ

คิดนึกอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ไม่ใช่เห็น ได้ยิน...และคิดนึก ก็เป็นภวังคจิต ซึ่งเป็นจิต

ประเภทที่จะรักษาความเป็นสัตว์บุคคลนี้ไว้ อันเป็นผลของกรรม ดังนั้นที่บอกว่ามีวิบาก

เป็นที่พึ่งอาศัยก็โดยนัยนี้ คือพึ่งโดยรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้ ขณะที่เป็นภวังคจิต

ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน.... ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เจ็บไม่ปวดเลย เพราะฉะนั้น

การที่จะมีวิบากที่ดีเป็นที่พึ่งอาศัยต้องเป็นกรรมดีเท่านั้น

ขออนุโมทนาค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอยกข้อความบางตอนที่ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้

บรรยายไว้ เกี่ยวกับ วิบากในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน...

นี่เวลาพูดถึง เรื่องแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน หรือมีกุศล อกุศลที่กำลัง

เกิดในขณะนั้นซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ผู้ที่เห็นธรรม ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า

แท้ที่จริงแล้ว ขณะที่บุคคลนั้นกำลังเป็นอกุศลอย่างนั้นๆ หรือแม้แต่ตนเองที่

กำลังเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างนั้นๆ ก็เพราะการสะสมของวิถีจิตในอดีต และ

เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว จึงทำให้มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีการ

ได้ยินเสียงที่กำลังได้ยินทางหู ในขณะนี้ ถ้าทุกคนกำลังพิจารณาเป็นธรรมะ

ทั้งหมด ก็จะพิจารณาได้แม้แต่ข้อความที่ว่า ขันธ์ทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย

อายตนะทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน ก็มีโดยนัยนี้เหมือนกัน คือ แทนที่จะ

เป็นคน เป็นสัตว์ แต่เพราะเหตุว่าได้กระทำกรรมในอดีต เป็นปัจจัยให้ จิตที่

เป็นวิบากในขณะนี้เกิดขึ้นเห็น และต่อจากนั้นกุศลอกุศลที่สะสมไว้มีปัจจัย

ก็เกิดขึ้น

...กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nong
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 25 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 26 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
bsomsuda
วันที่ 26 ก.ย. 2554

"..มีวิบาก เป็นที่พึ่งอาศัยก็โดยนัยนี้

คือ พึ่งโดยรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้.."

"..ที่กำลังเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างนั้นๆ

ก็เพราะการสะสมของวิถีจิตในอดีต.."

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pamali
วันที่ 3 ต.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ