ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น...[คิดเบียดเบียนผู้อื่น...ตอน ๑]
ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากการสนทนาธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ได้อธิบายประโยคที่ว่า คิดเบียดเบียนผู้อื่น ท่านบรรยายไว้ไพเราะมาก เพื่อเข้าใจถึงตัวจริงของธรรม ไม่ใช่รู้แต่เรื่องราวของธรรม ทำให้คิดถึงคำพูดท่านอาจารย์ว่าศึกษาทีละคำ ให้เข้าใจจริงๆ (เข้าใจถึงลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม) ผู้อื่น ในความเป็นจริง มีไหม? ไม่ใช่สภาพธรรมเลย คำว่า ผู้อื่น มีเพราะคิดถึงคำว่า ผู้อื่นเท่านั้น แต่ขณะที่คิดเบียดเบียน ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต และขณะที่ทำร้ายเบียดเบียน ขณะนั้นเป็นอกุศลกรรมบถ ให้ผลเกิดในทุคติภูมิ ควรหรือที่จะคิดเบียดเบียนผู้อื่นซึ่งไม่มีในความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมให้เข้าใจความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา จึงเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์มีเมตตา เพียรอดทน บรรยายมาตลอด ๕๐ กว่าปี ก็เพื่อให้ทุกๆ คนได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม ไม่ต้องไปหาสภาพธรรมจากที่ไหนเลย เพราะขณะนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพธรรมปรากฏ ฟังพระธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ได้เกิดมาในชาตินี้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 45
ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาล ย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล ส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว เพราะเหตุนั้นแล ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้ คนเป็นอันมาก ทำบาปกรรมเพราะความหลงในภพน้อยภพใหญ่ เพราะไม่มีปัญญาเครื่องให้ถึงที่สุด
ขออนุโมทนาค่ะ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวธรรมตอนหนึ่งเมื่อครั้งที่ไปสนทนาธรรม ที่พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ สรุปได้ว่า
"เจตนาเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะเบียดเบียนตนเอง" เป็นข้อความที่เตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพียงคิดที่จะประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น คิดไม่ดีกับคนอื่น ก็ไม่ดีแล้ว เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของตนเอง ยิ่งถ้าเป็นการล่วงเป็นทุจริตกรรม มีการประทุษร้ายคนอื่น เกิดขึ้น ทางกาย ทางวาจา ด้วยแล้ว นั่นเป็นอกุศลกรรมบถ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ให้ผลที่ไม่ดีกับตนเอง เท่านั้น ไม่ใช่ผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ผู้อื่น ในเมื่อเป็นกรรมที่ตนเองได้กระทำ (เจตนา เป็น กรรม) ก็ต้องเป็นตนเองเท่านั้นที่ได้รับผลของกรรม ซึ่งก็เป็นธรรมทั้งหมด ทั้งกรรม และ การได้รับผลของกรรม ถ้ากลัวความเดือดร้อนเสียใจในภายหลัง ก็จะต้องงดเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี ต้องไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีอย่างเด็ดขาด และนอกจากนั้น ยังจะต้องน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย "เป็นคนดี และ เข้าใจพระธรรม" ครับ.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา ด้วยครับ ...
กราบขอบพระคุณที่ถ่ายทอดคำสอนอันประเสริฐ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ และพี่เมตตามากค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านๆ ค่ะ
"เจตนาเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะเบียดเบียนตนเอง"
เป็นข้อความที่เตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพียงคิดที่จะประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น คิดไม่ดีกับคนอื่น ก็ไม่ดีแล้ว เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของตนเอง ยิ่งถ้าเป็นการล่วงเป็นทุจริตกรรม มีการประทุษร้ายคนอื่น เกิดขึ้น ทางกาย ทางวาจา ด้วยแล้ว นั่นเป็นอกุศลกรรมบถ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ให้ผลที่ไม่ดีกับตนเอง เท่านั้น ไม่ใช่ผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ผู้อื่น
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น ด้วยค่ะ...
เรียนท่านวิทยากร
ดิฉันขอคำอธิบายในเรื่อง อกุสลเจตนา ที่จะนำพาไปอบายภูมิ ด้วยการน้อมนำพระอภิธัมมาอธิบายด้วยค่ะ เพื่อเป็นการทำความเข้าใจว่า การที่มีอกุสลเจตนาทำงานนั้น จะเกิดภพภูมิ ในอนาคตอย่างไรคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ 11 ครับ
[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 431
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า “อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ (ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, พูดเท็จ, พูดคำหยาบ, พูดส่อเสียด, พูดเพ้อเจ้อ, เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น, พยาบาทปองร้าย, มีความเห็นผิด) เป็นความไม่สะอาดด้วย เป็นตัวกระทำให้ไม่สะอาดด้วย
ดูก่อนจุนทะ ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ นรกจึงปรากฏ กำเนิดดิรัจฉานจึงปรากฏ เปรตวิสัยจึงปรากฏ หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึงมี”
(ข้อความบางตอนจาก ... พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต จุนทสูตร)
ควรที่จะได้เข้าใจว่า อกุศลเจตนา เป็นธรรมที่มีจริง คือ เจตนาที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ซึ่งก็มีหลายระดับ มีทั้งระดับที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบถ และไม่สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบถ เพียงแต่สะสมเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดี เท่านั้น ก็มี เช่น ขณะที่มีความติดข้องในรสอาหาร ขณะนั้น จิตเป็นอกุศล เจตนาที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นอกุศล หรือ ในขณะที่หงุดหงิดรำคาญใจ ขณะนั้น จิตเป็นอกุศลประกอบด้วยโทสะ เจตนาที่เกิดร่วมด้วย ก็เป็นอกุศล แต่ไม่ได้ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็เพียงสะสมเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดี เท่านั้น ยังไม่ล่วงเป็นอกุศลกรรมบถ
แต่ถ้าเป็นอกุศลเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมบถ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น อย่างเช่นในพระไตรปิฎกที่ได้ยกมานั้น กรรมนั้นสำเร็จแล้ว สะสมไว้แล้ว พร้อมที่จะให้ผล คือ อกุศลวิบาก เกิดขึ้นตามสมควร และสามารถนำเกิดในอบายภูมิได้ด้วย เจตนาที่กระทำอกุศลกรรม มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น ไม่ใช่สุคติภูมิ เพราะการจะไปเกิดในสุคติภูมิซึ่งเป็นภพภูมิที่ดี กล่าวคือมนุษย์ภูมิและสวรรค์ ต้องเป็นผลของกุศลกรรมฝ่ายเดียว เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนควรพิจารณาว่า ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะพ้นจากอบายภูมิได้นั้น คือผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าได้กระทำอกุศลกรรมบถ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิแล้ว ย่อมมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ พร้อมทั้งไม่มีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาด้วย จะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียวครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"... ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่อบายภูมิ ... ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าได้กระทำอกุศลกรรมบถ ..."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ