สมควรอยู่หรือสมควรตาย

 
kanchana.c
วันที่  2 ต.ค. 2554
หมายเลข  19829
อ่าน  1,465

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ ต.ค. ๕๔ มูลนิธิฯนำ “มหามังคลชาดก” (ว่าด้วยมงคล) มาสนทนาใน

ชั่วโมงสนทนาพระสูตร มีข้อความ “ธรรมเตือนใจ” จาก สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุต

ตนิกาย สคาถวรรค มัจฉริยสูตร มีข้อความว่า

“บุคคลผู้ตายแล้ว เมื่อบุคคลอื่นนำสิ่งของทั้งหลาย มีข้าวและน้ำเป็นต้น แม้มาก มาวาง

แวดล้อม แล้วบอกว่า สิ่งนี้จงเป็นของผู้นี้ สิ่งนี้จะเป็นของผู้นี้ ดังนี้ บุคคลผู้ตายแล้วเหล่า

นั้น ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำการแจกจ่ายได้ ฉันใด แม้บุคคลผู้ไม่ให้ทาน ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นโภคะทั้งหลายของผู้ตายแล้ว และของผู้มีปกติไม่ให้ทาน จึงชื่อว่าเสมอกัน”

เมื่อนำมาสนทนาในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน มีผู้สรุปว่า ผู้ไม่ให้ทานกับคน

ตายแล้วก็เหมือนกัน คือ ไม่สามารถจะให้ทานหรือทำกุศลใดๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

การได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น อย่างนี้ตายกับอยู่ก็คงเหมือนกัน

ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ถ้าอยู่แล้วทำอกุศล ตายจะดีกว่าอยู่

ก็มีผู้กล่าวว่า “ข้าน้อยสมควรตาย” นั่นแสดงว่า ท่านเป็นผู้รู้ลักษณะสภาพจิตของตนเอง

ว่า มีอกุศลมากกว่ากุศล ซึ่งเป็นปกติของปุถุชนทั่วไป แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจ

บ้างอย่างท่าน ก็ยังไม่สมควรตายค่ะ อยู่เพื่อจะได้ศึกษาธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ต่อไป

บางคนสมควรตาย บางคนก็สมควรอยู่ แต่จะอยู่หรือตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เลือก

ไม่ได้ว่า จะอยู่หรือตาย แต่ก็เป็นสิ่งที่เตือนให้ระลึกได้ (สมกับหัวข้อ “ธรรมเตือนใจ”

ต้องขออนุโมทนาคุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่นำข้อความจากพระไตรปิฎกและอรรถกถามา

เตือนใจเสมอ) ว่า เมื่อยังอยู่ ก็อยู่อย่างสมควรอยู่ ไม่ใช่อยู่อย่างสมควรตาย คือ วันๆ ได้

แต่แสวงหาปัจจัย ๔ ไว้มากมาย เพื่อตนเองและลูกหลานญาติสาโลหิต พวกพ้องบริวาร

แม้ในทางอกุศลเพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขมากกว่าใครๆ หรือแม้จะเป็นไปในทาง

สุจริต แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความติดข้อง เมื่อหาทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานมากมายแล้ว ก็ยัง

ต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้มีชีวิตยืนยาว เพื่ออยู่ดูความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลานอีก

ต่อไป

ถ้าอยู่อย่างนี้ คือ ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เข้าใจพระธรรม การเกิดมาชาติหนึ่งก็จะ

สูญเปล่า เพราะยังเป็นผู้มืดบอด ทำให้เดินหลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็

สามารถทำอกุศลได้อีก แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นๆ ความเข้า

ใจนั้นเองก็เป็นแสงสว่างส่องให้เห็นทางเดินที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ได้เจริญกุศลทุกประการ

ทุกขณะที่ทำได้ จนถึงกุศลสูงสุด คือ การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

ในขณะนี้ จนประจักษ์แจ้งว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์

ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวตน จนทำให้สามารถหาทางออก

จากสังสารวัฏฏ์ได้ในที่สุด ส่วนจะยาวนานแค่ไหนก็ตามกำลังของความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่ม

ขึ้นนั้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 2 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pat_jesty
วันที่ 2 ต.ค. 2554
เป็นหัวข้อเตือนใจที่ีดีมากค่ะ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 2 ต.ค. 2554

" เป็นบุญที่ยังมีชีวิตอยู่ "

ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ได้สะสมความเข้าใจธรรมะ เพิ่มขึ้น ครับ

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 2 ต.ค. 2554

-ขอบคุณค่ะมีชีวิตอยู่เพื่อเจริญกุศลและฟังพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกว่าธรรมคืออะไร

ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 2 ต.ค. 2554

เป็นข้อความธรรม ที่เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ครับขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 3 ต.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
napachant
วันที่ 3 ต.ค. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 19829 โดย kanchana.c

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ ต.ค. ๕๔ มูลนิธิฯนำ “มหามังคลชาดก” (ว่าด้วยมงคล) มาสนทนาใน

ชั่วโมงสนทนาพระสูตร มีข้อความ “ธรรมเตือนใจ” จาก สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุต

ตนิกาย สคาถวรรค มัจฉริยสูตร มีข้อความว่า

“บุคคลผู้ตายแล้ว เมื่อบุคคลอื่นนำสิ่งของทั้งหลาย มีข้าวและน้ำเป็นต้น แม้มาก มาวาง

แวดล้อม แล้วบอกว่า สิ่งนี้จงเป็นของผู้นี้ สิ่งนี้จะเป็นของผู้นี้ ดังนี้ บุคคลผู้ตายแล้วเหล่า

นั้น ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำการแจกจ่ายได้ ฉันใด แม้บุคคลผู้ไม่ให้ทาน ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นโภคะทั้งหลายของผู้ตายแล้ว และของผู้มีปกติไม่ให้ทาน จึงชื่อว่าเสมอกัน”

เมื่อนำมาสนทนาในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน มีผู้สรุปว่า ผู้ไม่ให้ทานกับคน

ตายแล้วก็เหมือนกัน คือ ไม่สามารถจะให้ทานหรือทำกุศลใดๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

การได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น อย่างนี้ตายกับอยู่ก็คงเหมือนกัน

ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ถ้าอยู่แล้วทำอกุศล ตายจะดีกว่าอยู่

ก็มีผู้กล่าวว่า “ข้าน้อยสมควรตาย” นั่นแสดงว่า ท่านเป็นผู้รู้ลักษณะสภาพจิตของตนเอง

ว่า มีอกุศลมากกว่ากุศล ซึ่งเป็นปกติของปุถุชนทั่วไป แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจ

บ้างอย่างท่าน ก็ยังไม่สมควรตายค่ะ อยู่เพื่อจะได้ศึกษาธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ต่อไป

บางคนสมควรตาย บางคนก็สมควรอยู่ แต่จะอยู่หรือตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เลือก

ไม่ได้ว่า จะอยู่หรือตาย แต่ก็เป็นสิ่งที่เตือนให้ระลึกได้ (สมกับหัวข้อ “ธรรมเตือนใจ”

ต้องขออนุโมทนาคุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่นำข้อความจากพระไตรปิฎกและอรรถกถามา

เตือนใจเสมอ) ว่า เมื่อยังอยู่ ก็อยู่อย่างสมควรอยู่ ไม่ใช่อยู่อย่างสมควรตาย คือ วันๆ ได้

แต่แสวงหาปัจจัย ๔ ไว้มากมาย เพื่อตนเองและลูกหลานญาติสาโลหิต พวกพ้องบริวาร

แม้ในทางอกุศลเพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขมากกว่าใครๆ หรือแม้จะเป็นไปในทาง

สุจริต แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความติดข้อง เมื่อหาทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานมากมายแล้ว ก็ยัง

ต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้มีชีวิตยืนยาว เพื่ออยู่ดูความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลานอีก

ต่อไป

ถ้าอยู่อย่างนี้ คือ ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เข้าใจพระธรรม การเกิดมาชาติหนึ่งก็จะ

สูญเปล่า เพราะยังเป็นผู้มืดบอด ทำให้เดินหลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็

สามารถทำอกุศลได้อีก แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นๆ ความเข้า

ใจนั้นเองก็เป็นแสงสว่างส่องให้เห็นทางเดินที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ได้เจริญกุศลทุกประการ

ทุกขณะที่ทำได้ จนถึงกุศลสูงสุด คือ การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

ในขณะนี้ จนประจักษ์แจ้งว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์

ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวตน จนทำให้สามารถหาทางออก

จากสังสารวัฏฏ์ได้ในที่สุด ส่วนจะยาวนานแค่ไหนก็ตามกำลังของความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่ม

ขึ้นนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
napachant
วันที่ 3 ต.ค. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 19829 ความคิดเห็นที่ 6 โดย khampan.a

เป็นข้อความธรรม ที่เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ครับขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 3 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 3 ต.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Jesse
วันที่ 3 ต.ค. 2554

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 4 ต.ค. 2554

ไม่ควรประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ...

เพราะเมื่อสะสมจนมีกำลัง ย่อมสามารถกระทำอกุศลได้...

ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ถ้าอยู่แล้วทำอกุศล ตายจะดีกว่าอยู่...

...กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
bsomsuda
วันที่ 4 ต.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
guy
วันที่ 7 ต.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
sulome
วันที่ 7 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
homenumber5
วันที่ 8 ต.ค. 2554

ท่านเจ้าของกระทู้และวิทยากร ส่วนตัวดิฉันเห็นว่า การอยู่เป็นคนที่มีตาหูจมูก หูดีฟังธรรมได้ดีกว่าการตายแน่นอนเพราะตราบเท่าที่ยังมีชีวิตเรายังมีโอกาสฟังธรรมและแก้ไขตน จึงต้องเร่งขวนขวายหาธรรมมาใส่ตนและแก้ไขตนเองเพราะอบายภูมินั้นน่าสพรึงกลัวยิ่งนัก มนุษยภูมิยังดีกว่าหลายล้านเท่านะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
guy
วันที่ 11 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
michii
วันที่ 12 ต.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ประสาน
วันที่ 18 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ