มหาลิสูตร.. เหตุปัจจัยแห่งความบริสุทธิ์

 
pirmsombat
วันที่  5 ต.ค. 2554
หมายเลข  19853
อ่าน  1,539

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 139

…………………………………

. มหาลิสูตร

ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งความบริสุทธิ์

[๑๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา

ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ครั้งนั้นแล เจ้ามหาลีลิจฉวีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-

พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ท่านปูรณกัสสปพูดอย่างนี้ว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความเศร้าหมอง

ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองเอง เหตุไม่มี

ปัจจัยไม่มี เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย

ย่อมบริสุทธิ์เอง ในข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างไร พระผู้มี-

พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาลิ เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความเศร้าหมอง

ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมอง เหตุมี ปัจจัยมี

เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์.

ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของ

สัตว์เป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองอย่างไร.

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 140

พ. ดูก่อนมหาลิ ก็หากรูปนี้จะเป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์

ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว

สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดในรูป

ก็เพราะรูปเป็นสุข สุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข

มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น

สัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดในรูป

เพราะกำหนัดจึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะถูกประกอบจึงเศร้าหมอง

ดูก่อนมหาลิ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์

สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงเศร้าหมอง แม้ด้วยอาการอย่างนี้

ดูก่อนมหาลิ ก็หากเวทนานี้เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ

ก็หากสัญญานี้เป็นทุกข์ถ่ายเดียว ฯลฯ ก็หากสังขารนี้เป็นทุกข์ถ่ายเดียว

ฯลฯ ก็หากวิญญาณนี้เป็นทุกข์ถ่ายเดียว รังแต่ทุกข์ตามสนอง

หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลาย

ก็จะไม่พึงกำหนัดในวิญญาณ ก็เพราะวิญญาณเป็นสุข สุขตามสนอง

หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย

จึงกำหนัดในวิญญาณ เพราะกำหนัด จึงถูกประกอบเข้าไว้ เพราะ

ถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง ดูก่อนมหาลิ แม้ข้อนี้แลก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย

เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงเศร้าหมอง

แม้ด้วยอาการอย่างนี้.

[๑๓๒] ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ส่วนเหตุปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์เป็นไฉน

สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์ได้อย่างไร.

พ. ดูก่อนมหาลิ ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตามสนอง

หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้ว

สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในรูป

ก็เพราะรูปเป็นทุกข์ ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์

มิได้ประกอบด้วยสุขเสมอไป

ฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในรูป

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงบริสุทธิ์

แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์

สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์ แม้ด้วยอาการอย่างนี้

ดูก่อนมหาลิ ก็หากว่าเวทนาเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ สัญญาเป็นสุขถ่ายเดียว

ฯลฯ สังขารเป็นสุขถ่ายเดียว ฯลฯ วิญญาณเป็นสุขถ่ายเดียว สุขตาม

สนอง หยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย

ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ ก็เพราะวิญญาณเป็นทุกข์ ทุกข์ตาม

สนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขเสมอไป ฉะนั้น

สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด

เพราะคลายกำหนัดจึงบริสุทธิ์ แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย

เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย จึงบริสุทธิ์

แม้ด้วยอาการอย่างนี้.

จบ มหาลิสูตรที่ ๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
daris
วันที่ 5 ต.ค. 2554

ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ด้วยผมเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มศึกษา เวลาอ่านพระสูตรจึงยังไม่คุ้นกับสำนวน แต่เท่าที่เข้าใจ

คือ เหตุแห่งความเศร้าหมองของสรรพสัตว์คือความยึดถือในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน

และเหตุแห่งความบริสุทธิ์คือการละคลายการยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน ใช่หรือไม่

ครับ

ขอกราบขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 5 ต.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 1 ครับ

ก่อนอื่นขออธิบายพระสูตรนี้ ตามที่คุณหมอได้ยกมาให้อ่านกันก่อนนะครับ เพื่อให้เข้าใจ

ขึ้นครับ

เจ้าลิจฉวี ชื่อ มหาลิ ได้ทูลพระพุทธเจ้าว่า ครูปูรณกัสสปะ ซึ่งเป็น 1 ใน ครูทั้ง 6 ที่มี

ความเห็นผิด ได้แสดงความเห็นว่า สัตวจะเศร้าหมอง หรือ สัตวจะบริสุทธิ์ ไม่มีเหตุปัจจัย

ครับ ความหมายคือ เศร้าหมองเองและสัตว์บริสุทธิ์เองโดยไม่มีเหตุเลย เท่ากับปฏิเสธ

เรื่องการกระทำ เรื่องเหตุ ปฏิเสธ บุญและบาป เพราะสัตว์จะเศร้าหมอง คือ ติดข้อง เกิด

กิเลส ก็เกิดขึ้นเอง ไม่มีเหตุอะไร สัตว์จะบริสุทธิ์จากกิเลส หรือ จะหลุดพ้นก็หลุดพ้นเอง

ไม่มีเหตุอะไรเลยครับ นี่คือ ความเห็นของผู้ที่มีความเห็นผิด แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบ

เหตุที่จะทำให้สัตว์เศร้าหมองและบริสุทธิ์มี นี่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ ทรงแสดงว่า

ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ ทรงแสดงว่า การกระทำมี ผลก็ต้องมีด้วย

ไม่ใช่ผลมีแต่การกระทำไม่มี ไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ ไม่ใช่อย่างนั้นคัรบ ดังนั้น

พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สัตว์จะเศร้าหมอง คือ กิเลสเกิดขึ้น ก็มีเหตุ ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สัตว์

จะบริสุทธิ์ คือ ไม่ติดข้องไม่มีกิเลส ็ต้องมีเหตุอีกเช่นกัน เหตุอะไรครับที่จะทำให้สัตว์เศร้า

หมอง (เกิดกิเลส) และสัตว์บริสุทธิ์ (ไม่มีกิเลส) พระพุทธเจ้าทรงแสดง โดยนัยของขันธ์ 5

ว่า เหตุที่ทำให้สัตว์เศร้าหมอง เกิดกิเลสเพราะว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ

สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่นำมาซึ่งความทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น แต่นำมาซึ่งความ

สุขด้วย เช่น เห็นรูปที่ดี ก็เกิดความสุข โสมนัสในสิ่งที่เห็น เพราะ ขันธ์ 5 นำมาซึ่งความ

สุขด้วย ก็ทำให้เกิดกิเลส ติดข้อง ขณะใดที่กิเลสเกิดขึ้น ชื่อว่าเศร้าหมองแล้ว เพราะ

กิเลสเป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมองทีเ่กิดดกับจิต จึงบัญญัติว่ า สัตว์เศร้าหมองในขณะนั้น

ขณะที่กิเลสเกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น เมื่อเห็นรูปที่น่าพอใจ ก็นำมาซึ่งความสุข โสมนัสก็

ทำให้ติดข้อง เศร้าหมอง แล้ว ดังนั้นพระพุทธองค์แสดงว่า เหตุให้สัตว์เศร้าหมองมีอยู่ คือ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ สภาพะรรมที่มีจริงในขณะนี้ นำมาซึ่งความสุข

ด้วย การนำมาซึ่งความสุขด้วย นี้เป็นเหตุ ประการหนึ่งที่ทำให้สัตว์เกิดกิเลส จึงทำ

ให้เศร้าหมองในขณะนั้นครับ

และเหตุปัจจัยที่ทำให้สัตว์ บริสุทธิ์ก็มีอยู่เช่นกัน เหตุก็คือ ขันธ์ 5 ที่เป็น รูป เวทนา

สัญญา สังขารและวิญญาณ หรือ สภาพธรรมที่มีจริง ก็ไม่ใช่นำความสุขมาอย่างเดียว ก็

นำความทุกข์มาด้วย เมื่อมีความทุกข์ ผู้ที่ปัญญา จึงเห็นตามควาเมป็นจริงที่สภาพธรรม

นำความทุกข์มาให้ จึงอบรมปัญญา และสามารถละกิเลสอันเป็นเหตุทุกข์ได้ จึงทำให้สัตว์

บริสุทธิ์ครับ เพราะฉะนั้นคำว่าสัตว์บริสุทธิ์ จึงมุ่งหมายถึง การละกิเลสได้หมด

บริสุทธิ์จากกิเลสจริงๆ ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า เป็นผู้เบื่อหน่าย คลาย

กำหนัด นั่นคือ คลายจากกิเลส มีความติดข้องทั้งปวงครับ ดังนั้นเหตุที่ทำให้สัตว์บริสุทธิ์

ประการหนึ่ง เพราะสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 นำความทุกข์มาให้ด้วย จึงเป็นเหตุให้

มีการอบรมปัญญาเพื่อละทุกข์ครับ หากมีแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้นในสภาพธรรมที่มี

จริงในขณะนี้ ทุกคนก็คงไม่อยากจะละสิ่งเหล่านี้ไปใช่ไหมครั บ แต่เพราะสิ่งเหล่านี้นำ

ทุกข์มาให้ด้วย ไม่ว่าจะทุกข์กาย ทุกข์ใจ เพราะสภาพธรรมที่นำทุกข์มาให้ จึงเป็นเหตุให้

มีการอบรมปัญญานั่นเองครับและทำใ้หละกิเลสได้หมด ถึงความเป้นผู้บริสุทธิ์ครับ สัตว์จะ

เศร้าหมองและสัตว์จะบริสุทธิ์จึงมีเหตุตามที่กล่าวมา คือ สภาพธรรมที่นำสุขมาให้ จึงติด

ข้อง เศร้าหมอง และสภาพธรรมนำทุกข์มาให้ด้วย ไม่ใช่สุขอย่างเดียว เมื่อรู้ว่าทุกข์จึง

อบรมปัญญา ดับกิเลส จึงทำให้บริสุทธิ์ที่เรียกว่า สัตว์บริสุทธิ์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 5 ต.ค. 2554

ซึ่งสำหรับคำถามนั้น ถามว่า

เหตุแห่งความเศร้าหมองของสรรพสัตว์คือความยึดถือในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน และ

เหตุแห่งความบริสุทธิ์คือการละคลายการยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน ใช่หรือไม่ครับ

ตามที่อธิบายมาแล้วครับ พระสูตรนี้แสดงใน ขันธวารวรรค ในเรื่องขันธ์ 5 ดังนั้นโดยนัย

ของพระสูตรนี้ท่านมุ่งหมายว่า เหตุให้สัตว์เศร้าหมองก็คือ ขันธ์ 5 หรือ สภาพธรรมนำมา

ซึ่งความสุขด้วย เพราะการนำมาซึ่งความสุขของสภาพธรรมจึงเป็นเหตุประการหนึ่งที่ทำ

ให้สัตว์ติดข้อง เพราะถ้าไม่สุข เป็นทุกข์อย่างเดียวก็คงไม่ติดข้องกัน ขณะที่ติดข้องเกิด

กิเลส เป็นสัตว์แศร้าหมองในขณะนั้นครับ และเหตุให้สัตว์บริสุทธิ์โดยนัยพระสูตรนี้ คือ

เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาพธรรมที่มีจริง นำทุกข์มาให้ การนำทุกข์

มาให้ด้วย เป็นเหตุ เป็นเหตุให้สัตว์บริสุทธิ์ ประการหนึ่งนะครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะ

เมื่อมีทุกข์ทีเ่กิดจากขันธ์ 5 ก็อบรมปัญญาเพื่อละทุกข์นั่นเองครับ ก็สามารถทำให้บริสุทธิ์

ได้ เพราะอาศัยเหตุเบื้องต้นคือ สภาพธรรมนั้นนำทุกข์มาให้ด้วย จึงมีการอบรมปัญญาครับ

ส่วนโดยนัยพระสูตรอื่นๆ เหตุให้สัตว์เศร้าหมองก็เพราะกิเลส และสัตว์จะบริสุทธิ์ก็ด้วย

ปัญญาครับ แต่เมื่อกล่าวโดยนัยของขันธ์ 5 ถ้าไม่มีขันธ์ 5 ที่นำทุกข์และสุขมาให้ ก็จะ

ไม่มีสัตว์ ไม่มีการเศร้าหมองและบริสุทธิ์เลยครับ แต่เพราะมีขันธ์ 5 ที่มีสุขและทุกข์ สุข

และทุกข์ทีเ่กิดจากขันธ์ 5 เป็นเหตุที่ทำให้สัตว์เศร้าหมองและบริสุทธิ์ตามที่กล่าวมาทั้ง

หมดครับ

ซึ่งตามที่คุณ daris กล่าวมานั้น ก็ถูกอีกนัยหนึ่ง แต่ไม่ใช่โดยนัยของพระสูตรนี้ครับ

ซึ่งแม้จะละคลายความยึดถือขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตน ดับความเห็นผิดก็ยังไม่ชื่อว่าบริสุทธิ์จริง

เพราะยังมีกิเลสอีกมากที่ยังไม่ไ่ด้ดับ ผู้ที่จะบริสุทธิ์จริงคือดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระ

อรหันต์ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาและขออนุโมทนาคุณหมอที่นำธรรมดีๆ ให้มาเจริญ

ปัญญาร่วมกันครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 6 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pirmsombat
วันที่ 6 ต.ค. 2554

ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณเผดิมคุณคำปั่นคุณหมอdarisและคุณbsomsuda มากครับ

เป็นประโยชน์มากต่อผู้สนใจธรรมครับ

และ

อนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 6 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม และเป็นเครืืองเศร้าหมองของจิต เพราะเวลาที่กิเลสเกิดขึ้น จะต้องเกิดร่วมกับจิต แต่ต้องเป็นอกุศลจิต เท่านั้น กิเลสไม่สามารถเกิดร่วมกับจิตชาติอื่นได้เลย ต้องเกิดร่วมกับอกุศลจิต ซึ่งเป็นอกุศลชาติเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังเป็นผู้ไม่ปราศจากเครื่องเศร้าหมองของจิต พระอริยบุคคล สามารถดับกิเลสได้ตามสมควรแก่มรรค (อริยมรรค) ที่ท่านได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ได้ตามลำดับ จนกระทั่งดับได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ เมื่ออบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ีการเกิดอีกเลย ไม่มีจิต เจตสิก และ รูปเกิดขึ้นอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์ในวัฏฏะอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่ากิเลสประเภทใจะเกิดขึ้น รวมไปถึงการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล (มิจฉาทิฏฐิ) นั่นก็เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตแล้ว ทำให้จิตเศร้าหมอง ซึ่งความเศร้าหมองนี้มุ่งหมายถึงนามธรรม เป็นสำคัญ ไม่ใช่รูปธรรม และ เมื่อใดที่สามารถดับกิเลสได้ ก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสที่ดับได้แล้ว เพราะกิเลสที่ดับได้แล้ว จะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้ บริสุทธิ์ ด้วยปัญญาีที่อบรมเจริญแล้ว ไม่ไ้ด้เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยทางอื่นเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น ท่านไม่ได้แสวงความบริสุทธิ์ด้วยทางอื่นเลย นอกจากการดำเนินตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและทรงแสดง นั่นก็คือ อบบรมเจริญมรรมคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มด้วยความเข้าใจถูก เห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ หรือ ปัญญา) ครับ. ...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม, คุณหมอเพิ่มสมบัติ, คุณหมอดริส และ ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 6 ต.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
bsomsuda
วันที่ 7 ต.ค. 2554

" เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด "

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอเพิ่มสมบัติ และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
daris
วันที่ 7 ต.ค. 2554

ขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์และผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับที่ให้ความกระจ่างอย่าง

ยิ่งครับยิ่งศึกษายิ่งทำให้รู้ว่าพระธรรมเป็นเรื่องยากและละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปุ้ม
วันที่ 8 ต.ค. 2554

วิเศษจริงหนอ ธรรมเป็นเลิศธรรมประเสริฐ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ