อินเดีย ... ที่พักใจ 4 ขนของหนีน้ำ
ขนของหนีน้ำ
สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ แม้แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ตั้งใจว่า ก่อนไปอินเดียจะรวบรวมเรื่องการเจริญกุศลต่างๆ ก่อนการเดินทางมาเล่า แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปอินเดียนั้น กลายเป็นเรื่องอุทกภัยร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า ที่บ้านแม่ที่อยุธยาก็ถูกน้ำท่วมมากที่สุด แต่ก็ยังพออยู่อาศัยต่อไปได้ เพราะถ้าเปรียบเกาะเมืองอยุธยาเปรียบเหมือนกระทะ บ้านแม่อยู่ที่ขอบกระทะ น้ำท่วมสูงขึ้นมาจากพื้นไม่ถึงครึ่งเมตร ยังไม่ถึงพื้นครัว ยังอยู่อาศัยได้เหมือนเดิม แม้ชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่นการขับถ่าย นอกนั้นก็พอเป็นไปได้ ส่วนบ้านที่เขตสายไหมในกรุงเทพนั้น ก็อยู่ในพื้นที่เสี่ยงว่าจะถูกน้ำท่วมเหมือนกัน แม้จะไม่เคยท่วมมาก่อน ทำให้ไม่ค่อยอยากขนย้ายอะไร เพราะคิดว่าขนขึ้นข้างบนแล้ว พอสถานการณ์ปกติก็ต้องขึ้นลงอีก ญาติทางอยุธยาก็โทรมาเร่งให้รีบขนของขึ้นชั้นสอง ตามประสบการณ์ของตนเอง เราก็ถือของขึ้นไปชิ้นสองชิ้น แล้วบอกว่าขนแล้ว แม่และน้องจะได้สบายใจ คิดในใจว่า สมบัตินอกกายทั้งนั้น เดี๋ยวน้ำก็จัดการเองว่าสมบัติเหล่านี้จะเป็นสมบัติให้เราต่อไปหรือจะเป็นสมบัติของน้ำ
แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน ชักไม่สบายใจ ที่คิดว่าไม่หวั่นไหวกับสมบัตินอกกายนั้นไม่จริงเลย เริ่มสอบถามเครือข่ายสหายธรรมที่อยู่สายไหมด้วยกัน ได้ทราบว่า ท่านเหล่านั้นเตรียมกระสอบทราย เอารถยนต์ไปจอดในที่สูง และทยอยขนของขึ้นที่สูงกันแล้ว จึงเริ่มขนสมบัตินอกกายทั้งหลายที่คิดว่าไม่ติดข้องเลยนั้นขึ้นชั้นสอง มีของที่เก็บไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากมาย เช่น ตะกร้า กระเช้าของขวัญต่างๆ ของที่ระลึกในตู้โชว์ บางอย่างก็สมควรจะทิ้ง แต่ก็ยังเสียดายอยู่ คิดว่าเก็บไว้ก่อน พอน้ำลงค่อยจัดการสะสางอีกครั้ง ดูสภาพความติดข้องที่หนาแน่นซิ ที่คิดในใจว่า สมบัตินอกกายไม่เสียดายนั้น เป็นเพียงความคิดของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมบ้าง แล้วสำคัญตนผิดคิดว่ามีคุณธรรมถึงขั้นไม่ติดในทรัพย์สมบัติแล้ว ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะติดไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่กระบุง ตะกร้า ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นเขาคงทิ้งกันไปนานแล้ว เวลาปกติก็คิดว่าไม่ติดข้อง แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องสูญเสีย ก็พยายามรักษาไว้อย่างเต็มที่ พอเริ่มขนของมากขึ้นจนเหนื่อย ก็เริ่มได้คิดว่า ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ที่พยายามขนหนีน้ำนั้น ตอนปกติก็ไม่ได้ใช้ มองผ่านๆ ไป ไม่ได้ใส่ใจว่ามีหรือไม่มีด้วยซ้ำ แถมตอนนี้ยังต้องพาให้พ้นภัยจากน้ำอีก แล้วเมื่อไรจะได้ใช้ประโยชน์ก็ยังไม่ทราบ เป็นทรัพย์ที่ไม่ประเสริฐเลย ต้องหวนแหนรักษาให้พ้นจากภัยต่างๆ และไม่ได้เป็นที่พึ่งในคราวเป็นอันตรายแม้แต่น้อย แถมต้องเป็นภาระให้เหนื่อยยากอีก เป็นสิ่งที่ไม่น่าสะสมไว้เลย ไม่เหมือนอริยทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ที่ไม่เป็นภาระให้ต้องขนหนีภัยจากไฟ จากน้ำ จากโจร และยังติดตามเป็นที่พึ่งในยามได้รับอันตรายด้วย เพราะทำให้รู้ตามความเป็นจริง ทำให้ทุกข์จากความหวั่นไหวด้วยความติดข้องน้อยลง แม้จะขนก็ขนด้วยความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนที่สามารถบังคับบัญชาได้
ติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ เห็นผู้คนมากมายอพยพจากน้ำมาสู่ที่แห้ง ไม่ต้องแช่อยู่ในน้ำ ไม่เหมือนอย่างจิตใจของเราเวลานี้ ซึ่งเหมือนว่ายวนอยู่ในกระแสน้ำของความวิตกกังวล จะท่วมหรือไม่ท่วม จะป้องกันอย่างไรดี ถ้าเสียหายจะต้องเสียเงินซ่อมแซมอีกมากน้อยแค่ไหน ญาติพี่น้องตามที่ต่างๆ จะเป็นอย่างไร โทรถามกันทั้งวัน ได้พักใจบ้างก็ตอนได้ถอดเทปธรรมและเกิดความเข้าใจบ้างเท่านั้น เหมือนได้เกาะขอนไม้ที่ลอยผ่านมา (แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมเกาะ ยังอยากว่ายอยู่ในน้ำ คือความวิตกกังวลนั้นอยู่) ถ้าเข้าใจพระธรรมเพิ่มมากขึ้นจนสามารถเห็นลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงแล้ว ก็คงจะเหมือนอยู่บนเกาะที่เป็นที่พึงอันเกษม คือ การเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง เพราะได้รู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ความวิตกกังวลก็เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวแล้วก็ดับไป แล้วก็เห็น ได้ยิน วิตกกังวลใหม่ต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อยังไม่รู้ความจริง จึงยังเป็นเราวิตกกังวลอยู่นั่นเอง เมื่อขณะนั้นที่เป็นสติปัฏฐานยังมาไม่ถึง แล้วขณะนี้รู้อะไรบ้าง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ด้วยครับ
... อริยทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ที่ไม่เป็นภาระให้ต้องขนหนีภัยจากไฟ จากน้ำ จากโจร และยังติดตามเป็นที่พึ่งในยามได้รับอันตรายด้วย เพราะทำให้รู้ตามความเป็นจริง ทำให้ทุกข์จากความหวั่นไหวด้วยความติดข้องน้อยลง ...
ขอบพระคุณพี่แดงและขออนุโมทนาคะ