เด็กพิเศษ
คนที่เกิดเป็นเด็กพิเศษ กับเด็กปกติทำไมมีสมองไม่เหมือนกัน
และพิเศษคนละอย่างใช่ไหมค่ะ แล้วเด็กพิเศษฉลาดยังไงค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เมื่อเข้าใจสัจจะ ความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดง ก็จะเข้าใจว่า ความจริงไม่พ้นไป
จากสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกและรูป เพราะมี จิต เจตสิกและรูป จึงสมมติบัญญัติ
ว่า มีสัตว์ มีบุคคล มีสิ่งต่างๆ มีการสมมติว่าเป็นเด็ก เป็นเด็กปกติ เป็นเด็กพิเศษ
ดังนั้นที่แต่ละคน แต่ละชีวิตที่แตกต่างกันไป ก็เพราะการสะสมมาของจิตและเจตสิก
ที่เกิดขึ้นมาในอดีตแตกต่างกันไปนั่นเองครับ เด็กพิเศษ ก็คือการสะสม บางสิ่งบางอย่าง จนชำนาญในสิ่งนั้นบางอย่างในอดีตชาติ
บ่อยๆ จนชำนาญ ปัจจุบันชาติจึงทำให้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษในด้านนั้นๆ มากกว่า
ผู้อื่น คนอื่นๆ ที่ไม่ได้สะสมความชำนาญในเรื่องนั้น ซึ่งความสามารถพิเศษ มีความ
ฉลาดในทางโลก ก็เกิดจากการสะสมมาของจิต เจตสิกที่สะสมในเรื่องนั้นมาในอดีต
นั่นเองครับ ที่บ่อยๆ เนือง จนชำนาญ
ส่วนเด็กปกติ ก็ไม่ได้สะสมความสามารถ ความฉลาดในทางโลกในเรื่องนั้นมา
เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ที่แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดทางโลก ความคิดทาง
ใจ การแสดงออกทางวาจาและการแสดงออกทางทางกาย ก็ไม่พ้นจากการสะสมมา
ของจิตและเจตสิก แต่ความฉลาดทางโลกที่เป็นความสามารถพิเศษ เป็นเด็กพิเศษ ก็ไม่ใช่ปัญญาใน
พระพุทธศาสนา แม้จะสะสม การคิดพิจารณา ที่คิดได้รวดเร็วและมีความสามารถด้าน
อื่นๆ เหนือกว่าบุคคลอื่น ก็ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา เพียงแต่เป็นการสะสมมา
ของจิตในเรื่องนั้น แต่ปัญญาในพระพุทธศาสนา คือ การเข้าใจความจริงของสภาพ
ธรรม ตามความเป็นจริงในขณะนี้ ซึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็อาศัยการฟังพระธรรม
ศึกษาพระธรรมครับ เพราะฉะนั้น ความฉลาดในพระพุทธศาสนา จึงเป็นผู้ฉลาดใน
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ คือ ฉลาด ในสภาพธรรมที่กำลังมีตามความเป็นจริงครับ ซึ่งก็เป็น
เรื่องของการสะสมอีกเช่นกัน นั่นคือ ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนมี
ปัญญาเพิ่มขึ้น สะสมปัญญา จนเป็นผู้ฉลาดในสภาพธรรมครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล บุคคลเป็นเีพียงสมมติ เด็ก ก็เป็นเพียงสมมติ เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป จึงมีการ
สมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นต้น ความประพฤติเป็นไปของแต่ละบุคคล ก็เป็นไปตามการสะสม ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากธรรมอีกเหมือนกัน แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย สะสมมาที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้เวลากับสิ่งนั้นมากๆ ความชำนาญก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม รวมไปถึงการสะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเห็นประโยชน์ของความเข้าใจความจริง มีความจริงใจ มีความตั้งใจ มีความอดทน ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความรู้ความเข้าใจ (ปัญญา) ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด จะเห็นได้ว่า ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่เป็นเด็ก สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็มีเป็นจำนวนมาก เพราะท่านเหล่านั้น ได้สะสมปัญญา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งการที่จะเข้าใจได้นั้น ต้องอาศัยเหตุ คือ การฟังฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะขาดการฟังพระธรรมไม่ไ้ด้เลย สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เป็นที่พึงให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ละคลายความไม่รู้ และ ละคลายอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ใช่ความฉลาดในทางโลก แต่ต้องเป็นปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม
ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง และสิ่งที่จะสามารถศึกษาและเข้าใจได้ ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจมีจริงอยู่ทุกขณะ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...