ความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น...[เครียดมาก ฟังพระธรรมไม่ไหว...ตอน ๗]

 
เมตตา
วันที่  28 ต.ค. 2554
หมายเลข  19938
อ่าน  1,398

ธรรมเตือนใจ...สนทนาธรรมที่โรยัลปริ้นเซสคอนโด...หัวหิน

จากการสนทนาธรรมครั้งนั้น มีท่านหนึ่งกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า เวลาที่เครียด

มากๆ แล้วมาฟังพระธรรมก็ฟังไม่ไหว ท่านอาจารย์ได้กรุณาให้ความเข้าใจว่า ไม่มี

อะไรดีเท่าพระธรรมที่ทรงสอนให้เข้าใจหนทางจริงๆ ไม่มีทางอื่น ความเข้าใจ

ถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังมี โดยไม่หวัง...นี่คือหนทาง เครียดมากๆ ฟังพระ-

ธรรมไม่ไหว นี่ก็คือธรรมะ ตัวเรา ความเป็นเราอยากได้ อยากละไปให้หมด ไม่อยาก

เครียดอีกเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า กว่าเราจะฟังเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น หัวใจสำ-

คัญที่สุดก็คือ เข้าใจขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ฟังให้เข้าใจว่าเป็นธรรม

เพื่อใจของเราจะได้ไม่ไปผูกพัน ยึดมั่นว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา เพราะ

ฉะนั้นถ้าเราหวังว่า เราจะไม่เครียด แต่เครียดเกิดแล้ว ให้รู้สิ่งที่เกิดแล้ว แต่เราหวัง

อย่างอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดแล้ว จึงเดือดร้อน และจะเดือดร้อนไปเรื่อยๆ

เพราะเราไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏก็รู้ยาก เราก็หวังให้รู้มาก

กว่านี้ ก็อยู่อย่างนี้นั่นแหละไม่ย้ายเรื่องนี้ ก็ย้ายไปเรื่องนั้น คือความหวัง นี่...หวังมาก

ถ้าเครียดเกิดขึ้น เกิดแล้ว พระพุทธองค์ให้รู้ตามความเป็นจริง เครียดเป็นธรรม แล้ว

เครียดก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา เพราะสามารถรู้ว่าในขณะที่เครียดก็มีเห็น มีได้ยิน ท่าน

ถึงแสดงวาระจิต และวิถีจิตอย่างละเอียดเพื่อให้รู้ว่า แต่ละหนึ่งๆ จนกว่าแต่ละหนึ่ง

นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีความเป็นเรา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 28 ต.ค. 2554

อย่างเห็น เห็นก็ไม่รู้จักได้ยิน เห็นนิดหนึ่งหมดแล้ว ได้ยินเกิดขึ้น ไหนละเรา

เราอยู่ตรงไหน? ถ้าเราสามารถเห็น ความเป็นหนึ่งๆ ๆ ๆ ซึ่งเกิดดับ ที่ใช้คำว่าขันธ์

เพราะฉะนั้น ขันธ์ไม่ใช่แต่ ชื่อ แต่หมายความว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมา

อีก นั่นเองขันธ์หนึ่งๆ ๆ ๆ ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจซึ่งความจริงก็เป็นอย่างนั้น

ความจริงก็คือ เห็นเดี๋ยวนี้ ก็หนึ่ง ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็หนึ่ง ถ้าเมื่อไหร่ที่ เห็นกับได้ยิน ไม่

มาเกี่ยวข้องกัน เมื่อนั้นก็ไม่มีเรา แต่คราวนี้มีตัวเราเป็นหลักอยู่ เดี๋ยวเห็นก็คือ

เราเห็น เดี๋ยวได้ยินก็คือ เราได้ยิน แล้วก็มาผูกเห็น ผูกได้ยิน ทั้งหมดว่าเป็น

เรา ทั้ งๆ ที่ทรงแสดงถึงความเป็นธาตุ ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด นี่ก็ชัดเจนอยู่แล้ว

แต่ ตัวปัญญา ไม่เข้าไปถึงความจริงว่า เดี๋ยวนี้คืออย่างนี้คือ แม้เห็นเดี๋ยวนี้ก็

ต้องมีปัจจัยชั่วขณะที่เกิดแล้วดับไป ก็หมดแล้ว แต่เอามาผูกไว้ เพราะฉะนั้น

กว่าสติสัมปชัญญะจะรู้ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ ไปอย่าง

นี้ ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวัง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ปัญญาเกิดขึ้น

เพื่อละความหวัง คือ ความเข้าใจขึ้น ขณะนี้คือค่อยๆ ละ กว่าสังขารขันธ์ปรุงแต่ง

ต้องใช้เวลาในการอบรมที่ยาวนานมาก...แต่คนไม่เข้าใจก็ใจร้อนว่าไม่เห็น ละ สักที ก็มี

ความเป็นเรา ความเป็นตัวตนที่ต้องการอย่างมหาศาล โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นมีความเป็นตัว

ตนมากเหมือนเดิม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเราเห็น เราได้ยิน...เป็นคิดก็เป็น

ตัวตน ก็เลยไม่มีทางออก เครียดก็เป็นเราที่เครียดมาก เพราะว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า

ที่จริงแล้ว ปัญญาคือ ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีโดยไม่หวัง ทีละเล็ก ทีละ

น้อยคือค่อยๆ เข้าใจขึ้น

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
orawan.c
วันที่ 28 ต.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ทุกอย่างเป็นธัมมะและเป็นอนัตตาจริงๆ ค่ะ

ไม่ว่าจะเครียด หรือฟังพระธัมให้เข้าใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 28 ต.ค. 2554

เป็นเครื่องเตือนสติที่เหมาะสมกับเวลาจริงๆ ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 28 ต.ค. 2554

เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่งขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา ด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สมศรี
วันที่ 29 ต.ค. 2554
เป็นความละเอียดของพระธรรมจริงๆ ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 31 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 31 ต.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jans
วันที่ 6 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 2 ม.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
พุทธรักษา
วันที่ 3 ม.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ