ทำบุญด้วยเหตุผลตัวเอง จะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน

 
แม่ลาว
วันที่  3 พ.ย. 2554
หมายเลข  19956
อ่าน  5,288

เช่น เราเห็นคนหมู่มาก ไม่มีข้าวกิน ก็ไปซื้อข้าวมาให้ ด้วยเหตุผลอยากให้เขาอิ่มท้อง

เช่นไส่บาตร เพื่อให้พระสงฆ์อิ่มท้อง มีแรงปฎิบัติธรรม

เช่นถวายหนังสือธรรมะ ก็ถวายเพื่อจะได้มีหนังสืออ่าน มีความรู้ เหมือนแจกหนังสือ

ตำราเรียนให้คนที่เขาไม่มี

แต่ถ้า เราตั้งใจเตรียมพร้อมอาหารจะให้ทานคนหมู่มาก แต่พอหมู่มากจะหากินได้ เรา

คิดว่าถ้าบริจาคไปเขาจะไม่ขนขวายทำมาหากิน เราเลยไม่บริจาคต่อ เอาไว้ไปบริจาค

กับคนที่เขาไม่มีกำลังหากินได้เองดีกว่า

แต่ถ้า เราตั้งใจจะไส่บาตรพระรูปนี้ แต่เราเห็นพระสงฆ์ที่เราไส่ ทำตัวไม่เหมาะสมใน

ความเป็นสงฆ์ เราก็ไม่คิดจะไส่บาตรพระรูปนั้นอีก แล้วเลือกไปไส่บาตรกับพระที่เป็นสุ

ฎิปัญโณ

แต่ถ้า วัดใด หรือ ที่ใดมีหนังสือแล้ว เราตั้งใจจะบริจาค แต่เห็นว่ามีแล้ว เราเลยไม่

บริจาค เลือกไปบริจาคที่ขาดแคลน

การทำบุญด้วยเหตุผลเหล่านี้ จะมีผลต่อส่วนบุญแค่ใหน แล้วด้วยเหตุผลในการทำบุญ

แบบนี้ จะไปเกิดสวรรค์ชั้นใดเหรอครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขอนำพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เกี่ยวกับ เรื่องการให้ทาน ที่เมื่อให้ทาน

แบบใด จะเข้าถึงสวรรค์ชั้นนั้นเพราะเหตุผลอะไรครับ

ข้อความใน ทานสูตร ได้อธิบายไว้ดังนี้ ขอสรุปดังนี้ครับ

ท่านพระสารีบุตร ได้กราบทูลถาม พระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไร

หนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว

มีผลมากไม่มีอานิสงส์มาก อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้น

นั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก.

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

1.บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทาน เพราะ หวังผลของทาน คือว่า ให้ทานเพื่อจะได้ไป

เกิดใน สวรรค์ มีความหวัง มีโลภะ แล้วจึงให้ทาน กับ สมณะ พราหมณ์ ผู้ขอทั้งหลาย

เมื่อบุญนี้ให้ผลก็ทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นที่ 1 คือเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

2.บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทาน ไม่ได้หวังผลของบุญว่าจะไปเกิดในสวรรค์ ไม่มีความ

ต้องการผลของบุญจึงให้ เหมือนข้อแรก แต่ให้ทานเพราะคิดว่า การให้ทานเป็นการ

ทำความดี จึงให้ทาน ด้วยผลของบุญนั้น ก็ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นที่ 2 คือ ดาวดึงส์

3.บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้หวังผลของบุญ ไม่ได้คิดว่าทานเป็นการดีจึงให้ แต่ให้

ทานเพราะคิดว่า ปู่ย่า ตายาย บิดา มารดาเคยให้มา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณีนี้ จึง

ให้ทาน ด้วยผลบุญของการให้ทานแบบนี้ ก็ทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นที่ 3 คือ สวรรค์ชั้น

ยามา ครับ

4. บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพราะคืดว่า เราหุงหากินเองได้ แต่คนอื่น รวมทั้ง

สมณะ พราหมณ์ หุงหากินเองไม่ได้ จึงให้ทาน เพราะผลของบุญนี้จึงไปเกิดในสวรรค์

ชั้นที่ 4 คือ ดุสิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2554

5.บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพราะคิดว่า ฤาษีต่างๆ ในอดีตกาลเป็นผู้จำแนกแจก

ทาน เราก็ควรเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนบุคคลเหล่านั้นจึงให้ทาน ด้วยผลของบุญ

นั้น ทำให้เกิดในสวรรค์ชั้น นิมมานรดี สวรรค์ชั้นที่ 5

6.บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพราะคิดว่า เมื่อเราให้แล้ว ย่อมทำให้เกิดความปลื้มใจ

เกิดปิติโสมนัสในการให้ทาน จึงให้ทาน เพราะผลของบุญจึงทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นที่ 6

ชั้นปรนิมมิตตสวัตตีครับ

7.บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต คือ ปรุงแต่งจิตด้วย สมถะและ

วิปัสสนา โดยที่ขณะที่ให้ทาน สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ว่าขณะที่ให้ทานเป็นสภาพ

ธรรมใช่เรา ขณะนั้นชื่อว่าให้ทาน ปรุงแต่งจิต เป็นการให้ทานอันประเสริฐสูงสุด ถึงการ

ดับกิเลสได้ครับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

จะเห็นนะครับว่า การจะได้เกิดในสวรรค์ก็ต้องเป็นผลของบุญ ซึ่งทาน ก็เป็นบุญ

ประเภทหนึ่ง สามารถทำให้เกิดในสวรรค์ได้ แต่ สวรรค์ก็มีหลายชั้น เพราะแบ่งไปตาม

ระดับของกุศล ตามความประณีตของกุศลครับ กุศลใดที่ประกอบด้วยปัญญาและไม่มี

กิเลส ครอบงำ เช่น หวังผลของบุญ กุศลนั้นก็มีอานิสงส์มากครับ ผู้ที่หวังผลของบุญ

หรือ ทำเพื่อตนเอง เป็นต้น อานิสงส์ก็น้อยตามไปเพราะมีกิเลสเกิดขึ้น คือ โลภะ สลับ

ในขณะก่อนให้ ความประณีตของกุศลก็น้อยลง ทำให้เกิดในสวรรค์เพียงชั้นที่ 1 ครับ

ส่วน การให้ทานที่ประเสริฐสูงสุด คือ การให้เพื่อประดับปรุงแต่งจิต คือ ขณะนั้นมี

ปัญญารู้ลักษณะของจิตที่ให้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น สละ ละกิเลส ละความไม่รู้

ประกอบด้วยปัญญา เป็นการให้ทานที่เลิศที่สุดครับ

การทำกุศลจึงมีมากมาย ที่เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ เป็นไปตามการสะสมของ

แต่ละบุคคล ซึ่ง การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ผู้ที่มี

ปัญญาเจริญขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้น โดยไม่เว้น และเจริญกุศลทุกๆ ประการ

อันเป็นเพื่อละ สละกิเลสครับ ปัญญาจึงเป็นธรรมเกื้อกูลต่อการเจริญกุศลทุกๆ ประการ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลใ้หสรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมสนทนา ด้วยครับ การเจริญกุศลในชีวิตประำจำวัน ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง กุศลเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ควรที่จะอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นจะเบาสบาย ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่จิตเป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง แม้ในขณะที่ให้ทาน ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผลจากการให้ เพราะพระธรรม เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อติดข้องต้องการ ถ้าเป็นผู้ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ก็จะทำให้เห็นอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงแล้วเริ่มขัดเกลากิเลสของตนเอง และเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ การเจริญกุศลเพื่อหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เกิดในสวรรค์ เป็นต้น นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะถึงแม้จะไม่หวัง เมื่อกุศล ให้ผล ก็ย่อมจะให้ผลที่ดีอย่างแน่นอน ถ้าเริ่มเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับแล้ว การเจริญกุศลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในขั้นของทาน (การให้ สละวัตถุสิ่งของ เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น อันเป็นการสละซึ่งความตระหนี่) ขั้นของศีล (งดเว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ และประพฤติในสิ่งทีดีงาม) ขั้นของภาวนา (การอบรมเจริญความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) ย่อมเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 4 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผิน
วันที่ 4 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
mahabaramee
วันที่ 9 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ