การอบรมตน

 
pirmsombat
วันที่  5 พ.ย. 2554
หมายเลข  19971
อ่าน  1,145

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 579


ว่าด้วยการอบรมตน

[๙๒๐] คำว่า อบรมตนอยู่ ในคำว่า เมื่อภิกษุอบรมตนอยู่ ความว่า ปรารภความเพียร มีความเพียรแรงกล้า มีความบากบั่นมั่นคง มิได้ปลงฉันทะ มิได้ทอดธุระ ในธรรมทั้งหลายฝ่ายกุศล อีกอย่างหนึ่ง ผู้ส่งตนไป คือตนอันภิกษุส่งไปในอรหัตตผลอันเป็นประโยชน์ของตน

ในอริยมรรค ในลักษณะ ในเหตุ ในฐานะ และอฐานะ คือส่งตนไปว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ส่งตนไปว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ส่งตนไปว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ส่งตนไปว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ฯลฯ ส่งตนไปว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชราและมรณะ ส่งตนไปว่า เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ ฯลฯ ส่งตนไปว่า เพราะชาติดับชราและ มรณะจึงดับ ส่งตนไปว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ส่งตนไปว่า นี้ปฏิปทาเครื่องให้ถึง ความดับทุกข์ ส่งตนไปว่า เหล่านี้อาสวะ ฯลฯ ส่งตนไปว่า นี้ปฏิปทา เครื่องให้ถึงความดับอาสวะ ส่งตนไปว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯลฯ ธรรมเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ส่งตนไปถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ส่งตนไปถึงความเกิด ความ ดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ แห่งมหา ภูตรูป ๔ ส่งตนไปว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา. คำว่า เมื่อภิกษุ ความว่า เมื่อภิกษุ ที่เป็นกัลยาณปุถุชน หรือเมื่อภิกษุที่เป็นพระเสขะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อภิกษุอบรมตนอยู่ เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระจึงทูลถามว่า

เมื่อภิกษุอบรมตนอยู่ เธอพึงเป็นผู้มีคลองแห่งถ้อยคำ อย่างไร พึงเป็นผู้มีโคจรในศาสนานี้อย่างไร พึงเป็นผู้มี ศีลและวัตรอย่างไร.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เซจาน้อย
วันที่ 5 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 5 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คำว่า อบรบตนอยู่ ไม่ได้หมายถึง มีตัวตนที่จะพยายาม ที่จะทำ มีตัวตนที่จะอบรม หรือมีตัวที่จะทำความเพียร เพราะในความเป็นจริงมีแต่เพียงสภาพธรรม ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล ดังนั้น คำว่า ตน ในที่นี้ จึงมุ่งหมายถึง จิตที่ประกอบด้วยปัญญา นั่นก็คือ อบรมจิตอยู่ อบรมอย่างไร ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ขณะใดที่เข้าใจความจริง ปัญญาค่อยๆ เจริญขณะนั้น ขณะที่ปัญญาเกิด มีความบากบั่นด้วย เพราะมีวิริยเจตสิกทีเกิดพร้อมกับปัญญา มีตน คือ มีจิตที่ส่งไปในความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ขณะที่ค่อยๆ เข้าใจ จากการฟังจึงเป็นการอบรมตนอยู่ และเมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ปัญญทำหน้าที่ ส่งไป ไม่มีตัวเราที่ส่งไปปัญญาส่งไป เห็นความจริงว่าสภาพธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา และเมื่อปัญญาสูงสุด ก็ถึงการดับกิเลส เป็นพระอรหันต์ จึงชื่อว่าเป็นผู้อบรมตนแล้ว ไม่ต้องอบรมตนอีกครับ ดังนั้น ธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้ง เริ่มจากความเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม จึงไม่มีเราที่จะต้องอบรมตน แต่อาศัยการฟังพระธรรม ขณะที่ค่อยๆ เข้าใจ ปัญญาค่อยๆ อบรมอยู่ โดยใช้คำว่าสมมติว่า อบรมตน แต่ตนไม่มี มีแต่ปัญญาที่อบรมครับ

ขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่านๆ ครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 5 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณหมอและอาจารย์ผเดิมครับ

ขออนุญาตเรียนสอบถามคำว่า "ส่งตนไป" ว่ามีความหมายตามนัยนี้อย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 5 พ.ย. 2554

คำว่า อบรมตนอยู่ ในคำว่า เมื่อภิกษุอบรมตนอยู่ ความว่า ปรารภความเพียร มีความเพียรแรงกล้า มีความบากบั่นมั่นคง มิได้ปลงฉันทะ มิได้ทอดธุระ ในธรรมทั้งหลายฝ่ายกุศล

... กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลของคุณหมอเพิ่ม ...

ขออนุโมทนาในกุศลจิต อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 5 พ.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

คำว่า มีตนส่งไปล้ว มีหลากหลายนัยครับ คำว่า ส่งตนไปแล้ว ซึ่งสำหรับในข้อความ มหานิเทส ที่คุณหมอเพิ่มยกมาในสูตรนี้ แสดงถึง ส่งตนไปแล้ว หมายถึง มีจิตที่ส่งไป แล้ว คือ มีจิตที่ประกอบด้วยปัญญา รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ว่าไม่เที่ยง ขณะที่จิตที่ประกอบด้วยปัญญา รู้ความไม่เที่ยง ขณะนั้นชื่อว่า ส่งตนไปแล้วในความไม่ เที่ยง รู้ว่าเป็นทุกข์ ส่งตนไปแล้วในการรู้ความทุกข์ รู้ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมใน ขณะนี้ ชือ่ว่า ส่งตนไปแล้ว ในการรู้ความจริงว่าสภาพธรรมเป็นอนัตตาครับ

ส่งตนไป คือ จิตที่่ส่งไป หรือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับปัญญา รู้ความเป็นปัจจัยของสภาพธรรม คือ รู้ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ขณะนั้นชื่อว่าส่งตนไป ด้วยจิตที่ประกอบ ด้วยปัญญา ส่งตนไป ด้วจิตที่ไม่ใช่ตนที่ประกอบด้วยปัญญา รู้ความจริงที่เป็นอริยสัจ 4 ขณะที่รู้เช่นนั้น ชื่อว่า ส่งตนไป เพราะเป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญา อันสมมติเรียกว่า ตน ครับ การรู้ความจริงในขณะนั้น ชื่อว่า ส่งตนไปครับ ซึ่งก็มีหลายระดับ ในการส่งตนไป ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่ไมไ่ด้เป็นพระภิกษุแต่ อบรมปัญญา ไม่ได้คิดยอมสละชีวิต แลกด้วยชีวิตเพื่ออบรมปัญญา ถึงอย่างนั้น ท่านก็รู้ความจริงของสภาพธรรมทีไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ขณะนั้นท่านชื่อว่า ส่งตนไปแล้ว เพราะจิตส่งไป จิตที่ประกอบ ด้วยปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้นครับ และสูงสุดคือ ผู้ที่มีตนส่งไปล้ว คือ ผู้ที่รู้พระนิพพาน ก็ชื่อว่า มีตนส่งไปแล้วในขณะนั้นครับ

สำหรับคำว่า ส่งตนไป บางนัยในสูตรอื่น หมายถึงการสละชีวิตเพื่ออบรมปัญญา บทว่า ปหิตตฺโต ความว่า มีจิตส่งแล้ว คือ มีอัตตภาพสละแล้วเพราะความเป็นผู้ไม่มีความเยื่อใยในกายและชีวิต. จากข้อความในอรรถกถา จะเห็นนะครับว่า ไม่มีตัวตน หรือ ตัวเราที่จะส่งไป จะพยามยาม แต่เป็นจิตที่ส่งแล้ว ซึ่งข้อความในอรรถกถาก็อธิบายครับว่า มีร่างกายที่ยอมสละแล้ว เพื่อ อบรมปัญญา ไม่มีเยื่อใยในชีวิต

ตรงนี้ก็ต้องละเอียดครับว่า ผู้ที่มีตนส่งไป คือ มีจิตที่ยอม สละชีวิต เพื่ออบรมปัญญา การยอมสละชีวิต อัตภาพนี้ได้ก็ต้องมีปัญญาที่สะสมมามาก มี ปัญญาที่สะสมมาแล้ว จากการเสพจนคุ้น บ่อยๆ ในการฟังพระธรรม อบรมปัญญา เมื่อ ปัญญามีกำลังที่เรียกว่า เสพจนคุ้นแล้ว จึงมีตนส่งไป คือ มีจิตส่งไปแล้ว ซึ่งจิตในที่นี้ต้อง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย คือ มีเจตสิกที่เกิดกับจิต คือ ปัญญาเป็นสำคัญ จิตที่ส่งไปแล้ว คือ จิตที่ประกบอด้วยปัญญาที่มีกำลัง ที่เห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญกุศลและอบรม ปัญญาเพื่อดับกิเลส จนยอมที่จะสละชีวิตเพื่อการอบรมปัญญาได้ครับ นี่แสดงให้เห็นความ มีกำลังของปัญญา ที่ไม่ใช่เราที่ส่งไป ไม่มีตัวตนที่ส่งไป แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ที่ส่งไป ส่งไปสู่การดับกิเลส แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 5 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมสนทนา ด้วยครับ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงบอกทางแก่สัตว์โลกว่า ทางที่ถูก ที่เป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส ก็คือ การอบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่จะเป็นไปเพื่อการดับทุกข์หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด ถ้าไม่มีการอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีการทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง แต่เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก (ซึ่งเป็นการอุบัติขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง) ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดี สะสมศรัทธาสะสมปัญญามาแล้วในอดีต ได้ฟังได้ศึกษา เพื่อเข้าใจความจริงอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ จึงมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ ส่วนผู้ที่ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้น ก็สะสมปัญญาเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการได้อบรมเจริญปัญญา อย่างแท้จริง

ปัญญาที่เจริญขึ้น จากการค่อยๆ สะสมไปตามลำดับด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ย่อมนำไปสู่การพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ได้ในที่สุด เพราะจิตที่อบรมดีแล้วด้วยปัญญา ในที่สุดแล้วก็จะไม่ถูกกิเลสย่ำยีอีกต่อไปเนื่องจากว่า กิเลสใดที่สามารถดับได้แล้ว กิเลสนั้นๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่สามารถที่จะมาทำร้ายย่ำยีเสียดแทงจิตใจได้อีกเลย

สำหรับประเด็น คำถามที่ท่านผู้ร่วมเดินทางได้ถาม ถึงคำว่า "ส่งตนไป" นั้น ในอรรถกถาทั้งหลาย ได้ขยายความไว้ว่า บทว่า ปหิตตฺโต ความว่า มีจิตส่งแล้ว คือ มีอัตตภาพสละแล้วเพราะความเป็นผู้ไม่มีความเยื่อใยในกายและชีวิต. แสดงให้เห็นถึง ความเป็นผู้มีความตั้งใจจริง มีความบากบั่นอย่างมั่นคงด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่จะอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส จนกว่าจะถึงความดับหมดสิ้นไปในที่สุด ครับ.

... ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และ ทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pirmsombat
วันที่ 5 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิต

ของคุณผเดิม คุณผู้ร่วมเดินทาง คุณเมตตา คุณคำปั่นและ ทุกท่านครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 6 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 7 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ